Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2537








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2537
"โฮเทล, มาเทล และพาเทล"             
 


   
search resources

ทหะภัย พาเทล
ราวินดรา ซี พาเทล
สุนิล นาวัค




บ่ายวันหนึ่ง หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดไม่นานนัก นักศึกษาวิชาเคมีชาวอินเดียชื่อทหะภัย พาเทล อ่านพบในหนังสือพิมพ์ "เดอะ ไทมส์ ออฟ อินเดีย" ว่า กฎหมายคนเข้าเมืองฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้คนเอเซียสามารถอพยพเข้าไปในอเมริกาได้ง่ายขึ้น

"ผมตรงไปขอวีซ่าที่กงศุลสหรัฐฯ ในเมืองบอมเบย์ทันที ผมไปถึงอเมริกาเมื่อปี 1952 โดยมีเงินติดกระเป๋าอยู่ 2,000 เหรียญ" พาเทลย้อนรำลึกถึงความหลัง

พาเทลไปตั้งหลักที่ซานฟรานซิสโก เพราะมีเพื่อนร่วมชาติจากรัฐบ้านเกิดเดียวกันคือ รัฐกุชราตชื่อ คานจิภัย เดซาย เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งที่นี่ ซึ่งเขาสามารถพักอาศัยในราคาถูก ๆ ได้

"เขาเป็นชายแก่ที่ติดนิสัยชอบดื่ม แต่เขาก็ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพทุกคน ที่เข้ามาหา เขามีกำไรทุกปี มันทำให้ผมคิดว่า ถ้าเขาสามารถหาเงินได้จากธุรกิจนี้ ผมก็น่าจะทำได้" พาเทลกล่าว

เพียงสองเดือนนับจากวันที่เขาเหยียบแผ่นดินอเมริกา พาเทลตัดสินใจเช่าโรงแรมขนาด 100 ห้องในย่านที่เรียกว่า "เซ้าท์ มาร์เก็ต" ของซานฟรานซิสโกด้วยเงินลงขันของตัวเองกับที่รวบรวมจากเพื่อน ๆ หลายคน เขาเสียค่าเช่าเดือนละ 400 เหรียญ แล้วเอาห้องเช่าไปปล่อยให้เช่าต่อในอัตราห้องละ 3.5-5 เหรียญต่อสัปดาห์

พาเทลบริหารงานด้วยการประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด ทำให้มีกระแสเงินไหลเข้ามากกว่าไหลออก แม้จะเป็นจำนวนอันน้อยนิด แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นทุนสะสม

"เราทำงานกันทั้งวันทั้งคืน ถูพื้น ทำเตียงและไม่เคยปล่อยให้ฟร้อนท์ปราศจากคนประจำคอยต้อนรับลูกค้า ผมเป็นทั้งช่างไฟฟ้า ภารโรงและเหมารวมทั้งผู้จัดการด้วย"

เมื่อถึงปี 1962 เขาก็มีเงินเก็บพอที่จะพาภรรยาจากอินเดียมาอยู่ด้วย ทั้งยังซื้อกิจการโรงแรมเอ็มเพรสบนถนนเอ๊ดดี้ นอกจากนั้นยังเริ่มตั้งตัวเป็นนายทุนปล่อยเงินกู้ให้กับชาวกุชราตที่ต้องการซื้อกิจการโรงแรมมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง พอถึงปี 1970 พาเทลมีโรงแรมของตนเอง 6 โรง

ปัจจุบันพาเทลซึ่งมีอายุได้ 70 ปีแล้ว เป็นเจ้าของโรงแรม 13 แห่งทางด้านชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ และมีอาคารสำนักงานในซานฟรานซิสโก 1 แห่ง "ชาวกุชราตเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีและชอบเสี่ยง ซึ่งทำให้เราเป็นผู้ประกอบการที่ดี" เขากล่าว

คนอินเดียเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด (มีจำนวนห้องต่ำกว่า 150 ห้อง) และธุรกิจโมเต็ล โรงแรมประเภทนี้ไม่มีบริการห้องอาหาร ไม่มีพนักงานบริการหรือรูมเซอร์วิส ดำเนินกิจการโดยอิสระ หรือเป็นแฟรนไชส์ของเชนระดับชาติอย่าง "อีโคโนลอดจ์" "บัดเจท อินน์" "ทราเวล ลอดจ์" หรือ "ฮอลิเดย์ อินน์"

ข้อมูลจาก "เดย์ อินน์ ออฟ อเมริกา องค์" ซึ่งเป็นเชนหนึ่งเปิดเผยว่า ในจำนวนโรงแรม 1,200 แห่งที่ใช้แฟรนไชส์ของตน ประมาณ 24% เป็นของคนอินเดีย และกลุ่มที่มีประสบความสำเร็จมากที่สุดคือกลุ่มของคนอินเดียที่ใช้นามสกุลว่า "พาเทล" ซึ่งเป็นนามสกุลร่วมที่มีความหมายว่า ชาวนาหรือเจ้าของที่ดิน

ในบรรดาสมาชิก 6,000 รายของ ASIAN AMERICAN HOTEL OWNERS ASSOCIATION เป็นคนอินเดียถึง 5,000 ราย และ 97% เป็นคนอินเดียนามสกุลพาเทล

การแผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางของสกุลพาเทลนี้ ทำให้คนในวงการโรงแรมพูดกันเล่น ๆ ว่า น่าจะแบ่งประเภทธุรกิจโรงแรมออกเป็น "โฮเทล โมเทล และพาเทล" เสียเลย

ราวินดรา ซี พาเทล วัย 51 ปี ซึ่งบริหารโมเต็ล 15 แห่งในแคลิฟอร์เนียและเวอร์จิเนีย ทั้งยังเป็นประธานของ ASIAN AMERICAN HOTEL OWNERS ASSOCIATION เมื่อปี 1992 ด้วยกล่าวว่างานบริหารโมเต็ลเป็นธุรกิจที่เหมาะสำหรับครอบครัวผู้อพยพที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก แต่พร้อมที่จะทำงานหนัก "ถ้าคุณเดินเข้าไปในโรงแรมของเรา ผู้ที่มาต้อนรับไม่ใช่พนักงานบริษัท แต่เป็นสมาชิกของครอบครัว"

การที่มีคนอินเดียสกุลพาเทลจำนวนมากอยู่ในธุรกิจโรงแรม มีความเป็นมาที่พอจะอธิบายได้ ราฟจิภัย พาเทล อดีตนักฟิสิกส์แห่งบริษัทซีร็อกซ์ซึ่งหันมามาประกอบธุรกิจโรงแรม จนเป็นเจ้าของโมเต็ล 8 แห่งในเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียในปัจจุบันนี้พูดถึงเรื่องนี้ว่า "ผมคิดค่าเช่าห้องคินละ 42 เหรียญ แต่สำหรับคนอินเดียที่อพยพเข้ามาใหม่ หรือญาติพี่น้องของเราที่พร้อมจะทำงานกับเรา เราจัดห้องให้ได้ภายใน 12 นาที โดยไม่ต้องเสียค่าห้อง แถมยังมีค่าแรง 2 เหรียญต่อชั่วโมงให้ด้วย"

คู่แข่งของพาเทลในธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดคือคนจีน เกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งแม้จะยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ แต่ก็ประสบความสำเร็จไม่น้อยหน้าไปกว่าคนอินเดีย อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นของพาเทลก็ยังคงเป็นสิ่งที่ยากต่อการทายท้า "สำหรับเราแล้วเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนรุ่นหลังจะก้าวตามรอยคนรุ่นพ่อ พลังของเรามาจากสายเลือดสมาชิกแห่งครอบครัว" บูลาภัย พาเทลหรือ "บ๊อบ" จากแอตแลนต้ากล่าว

ครอบครัวอเมริกันอาจจะไม่สามารถกำหนดชีวิตลูกหลานได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพวกพาเทล "เราส่งลูก ๆ ไปเข้ามหาวิทยาลัย แต่พอเขาเรียนจบ 75% จะกลับมาทำธุรกิจของครอบครัว" ภิขุ พาเทลกล่าว เขากำลังจะเป็นเจ้าของโรงแรม 15 แห่งในแคลิฟอร์เนียใต้ ทันทีที่โครงการโรงแรมราคา 100 ล้านเหรียญอันประกอบด้วยห้องสวีททั้งหมดชื่อ โฮเต็ล เซอร์เคิ้ลซึ่งอยู่ติดกับดีสนีย์แลนด์เสร็จสมบูรณ์ในปี 1997

ลูกชายทั้งสองของเขาคือ เมย์เออร์วัย 31 และตูซาร์วัย 29 ต่างก็เป็นผู้บริหารในธุรกิจของครอบครัวคือบริษัททาร์ซาเดีย ในคอสตามาซ่า แคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นบริษัทเรียลเอสเตทโดยเมยเออร์เป็นผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้าง ส่วนตูซาร์เป็นประธานกรรมการบริหาร "ทำไมลูก ๆ ของเราจะต้องไปทำธุรกิจอื่น ในเมื่อเขารู้ว่าสามารถหาเงินได้มากมายจากธุรกิจโมเต็ล"

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของกิจการโมเต็ล กลุ่มชาวอินเดียจากรัฐกุชราต ทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่องตามมา เมื่อเร็ว ๆ นี้ สุนิล นาวัค นักธุรกิจโรงแรมในนิวยอร์คและนิวเจอร์ซี่ ได้ตั้งบริษัทบิสคอนขึ้นมาเพื่อสรรหาผู้บริหารชาวอเมริกันป้อนให้กับกิจการโมเต็ลของคนอินเดีย

"ในตอนเริ่มต้นกิจการ คนอินเดียส่วนใหญ่เป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการเอง โดยมีภรรยาและลูก ๆ เป็นพนักงานทำความสะอาด แต่เมื่อธุรกิจขยายตัวออกไป ความได้เปรียบที่ไม่ต้องจ้างแรงงานก็หมดไป พวกเขาจำเป็นต้องใช้ผู้จัดการมืออาชีพแล้ว" สุนิลอธิบาย

นักธุรกิจโรงแรมชาวอินเดียบางคน ยังนำเอาประสบการณ์และความรู้กลับไปเปิดโรงแรมที่อินเดียด้วย ดังเช่น บริษัทเจเอชเอ็ม เอ็นเตอร์ไพร้สซ์ ของพี่น้องชาวกุชราต สร้างโรงแรมระดับห้าดาวขึ้นแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของบอมเบย์เมื่อปี 1989

"เราพยายามให้ความช่วยเหลืออย่างดีที่สุดต่อผู้ที่ต้องการเข้ามาในธุรกิจนี้ ในเรื่องคำแนะนำและเงินกู้" ภิขุ พาเทลกล่าว "ธุรกิจโรงแรมของอเมริกาใหญ่มาก และมีที่ว่างให้ทุก ๆ คน ขออย่างเดียวอย่ามาเปิดโรงแรมข้าง ๆ เราก็แล้วกัน"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us