|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กันยายน 2549
|
|
"ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อยๆ กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ "ฝัน" ไว้ เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์ และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์"
วิกรมเขียนไว้ในหนังสือ "มองโลกแบบวิกรม"
ตลอดการสัมภาษณ์กับ "ผู้จัดการ" 2 ครั้ง ร่วม 6 ชั่วโมง วิกรมจะพูดบ่อยครั้งว่าเขาเป็นคนชอบฝัน เล่าร่วมกับตัวอย่างประสบการณ์การล่าฝันของเขาหลายต่อหลายครั้ง สะท้อนตัวตนความเป็น "นักฝัน" ของเขาอย่างแท้จริง
ในวัยเด็กเขาใฝ่ฝันอยากจะมีอาณาจักรส่วนตัว ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาจะมีอิสระและทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา ทั้งที่ช่วงเวลานั้นเขายังไม่เคยมีแม้ห้องส่วนตัว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กลัวที่จะฝัน จาก "บ้านไม้ไผ่ หลังคาใบสน" ที่เขาสร้างขึ้น เองในวัยเด็ก วันนี้กลายเป็นอาณาจักร "อมตะนคร" เมืองที่สมบูรณ์แบบ ที่มีประชากรร่วม 1.4 แสนคน และครั้งหนึ่งเกือบถูกยกให้เป็นอำเภอขึ้นมาเลยทีเดียว
"ถ้าคุณจะฝัน มันต้องมี 2 อย่างคือ มีความอยาก และมีเหตุมีผล แค่ 2 สิ่งนี้ต้องยึดถือไว้เลย การฝันถึงสิ่งที่อยากทำและมีเหตุมีผล เท่านี้เองความฝันก็ย่อมจะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปได้" วิกรมให้เคล็ด (ไม่) ลับการเป็น "นักฝัน" ที่ประสบความสำเร็จเช่นเขา ก่อนจะบอกว่าสิ่งที่เขาฝันมาชั่วชีวิต 90% ทำได้หมดแล้ว เพราะสิ่งที่เขาฝันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำและมีเหตุมีผล
ครั้งหนึ่งสมัยที่วิกรมอายุเพียง 10 ขวบ เมื่อเขาได้ดูหนัง "633 เที่ยวบินมัจจุราช" ความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบินโฉบเฉี่ยวก็เกิดขึ้นในทันที หลังจากเรียบจบ ม.3 เขาพยายามตามรอยความฝันนั้น แต่พ่อไม่สนับสนุน ความฝันของเขาจึงถูกฝังไว้ในใจ จนวันหนึ่งที่เขาเห็นเครื่องบิน F-16 ในโทรทัศน์
เมื่อความฝันผุดขึ้นมาอีกครั้ง วิกรมก็พยายามทำตามฝันอีกครั้ง จนปี 2546 เขาไปทดลองขับเครื่องบินเจ็ตที่เร็วที่สุดในโลก MIG-25 ที่กรุงมอสโคว์ รัสเซีย ประสบการณ์แปลกใหม่อันเกิดจากรากฐานความฝันจึงเกิดขึ้น นั่นก็คือเขาได้เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ขับเครื่องบินที่เร็วที่สุดในโลก เร็วกว่าเสียงถึง 3 เท่า
"ผมดีใจและภูมิใจมากกับการตัดสินใจตามความฝันก่อนที่ตัวเองจะอายุมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นสังขารอาจจะไม่เอื้ออำนวยให้ทำในสิ่งที่อยากทำ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมักเตือนตัวเองเสมอว่า ถ้าอยากทำอะไรก็ให้รีบทำถ้าพอทำได้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแล้วไม่หวนกลับ"
วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ผู้ช่วยตรวจทานต้นฉบับ "มองโลกอย่างวิกรม" เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นนักฝันของวิกรมว่า "เขาเป็นนักฝันที่ยิ่งใหญ่ หลายฝันเป็นความฝันที่คนอื่นไม่คิดถึงกัน แต่เขาก็กล้าฝัน และกล้าที่จะตามล่าฝัน ถึงแม้ว่าคนจะมองว่าเพี้ยน หรือความฝันนั้นแพงลิบลิ่ว"
"บ้าน" เป็นอีกความฝันอันแรงกล้าที่วิกรมปรารถนาจะสร้างขึ้นให้เป็น "สวรรค์ที่บ้าน" อันเป็นที่รวมตัวของแม่และน้องๆ รวมทั้งเป็นสถานที่ที่เขาจะได้อยู่อย่างสัมผัสธรรมชาติ ความสงบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝังจิตใจของเขามาตั้งแต่สมัยเด็ก
บ้าน 2 หลังที่วิกรมกำลังสร้างขึ้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และ "อมตะนคร" ที่ชลบุรี อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์แห่งจินตนาการของเขาที่ตกผลึกมาจากความฝันในอดีต และการวางแผนในอนาคตได้เป็นอย่างดี ถึงจะดูบ้าบิ่นมากจนเขาเองก็ออกปากว่า "ผมเป็นนักเพ้อฝัน อย่างบ้านที่กำลังสร้างของผมก็ฝันแบบวายป่วงเลยทีเดียว"...ประหลาดมากแค่ไหน ก็ลองจินตนาการตาม
พื้นที่ติดแนวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ร่วม 150 ไร่ ล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่และต้นไม้เขียวขจี พื้นที่ 10 ไร่ที่อยู่ส่วนกลางถูกขุดเป็นทะเลสาบ บ้าน 2 ชั้น ขนาด 9.9x9.9 เมตร ตั้งอยู่ในทะเลสาบ ชั้นล่างเป็นกระจกแก้วอะคริลิกหนากันน้ำ เจ้าของบ้านตั้งใจไว้หลบเสียงดัง พร้อมกับปล่อยใจไปกับการดูปลา กิจกรรมโปรดของเขาทุกครั้งยามต้องการพักผ่อน แต่ครั้งนี้คนดูปลากลับเป็นผู้ถูกกักบริเวณ หาใช่ปลา
ชั้นบนเป็นส่วนของห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องทำงานขนาดย่อม หลังคาโดมเป็นหน้าบันสูงสไตล์หลวงพระบาง ประดับด้วยเซรามิกคล้ายวัดอรุณฯ แต่เป็นรูปสิงสาราสัตว์ที่เจ้าของบ้านเคยเลี้ยงไว้ เช่น ช้าง หมี เสือ กวาง ฯลฯ
ข้างบ้านมีแพผูกไว้ 2 หลัง สำหรับรับแขก ถัดไปบนเนินเขามีถ้ำประดิษฐ์จากท่อระบายน้ำเสีย กทม. กว้าง 5 เมตร ลึก 10 เมตร วางนอนถมด้วยดินสูงขึ้นไปอีกจนเป็นภูเขา หน้าถ้ำล้อมด้วยหิน มีห้องน้ำ ห้องรับแขก และมีท้องฟ้าจำลองในถ้ำ ด้านหน้าถ้ำหันเข้าหาภูเขา ด้านข้างหันให้ถนน เพื่อความสงบและความมืด สิ่งที่วิกรมพิสมัยเพราะช่วยกระตุ้นจินตนาการและความฝันของเขาได้ดี
วิกรมตั้งใจตั้งชื่อหมู่บ้านที่จะมีเพียงไม่กี่หลังในที่ดินผืนนี้ว่า "ศานติสงบ"
แต่ทว่าบางสิ่งที่เขาคงไม่ลืมใส่เข้าไปในบ้านหลังใหม่เป็นแน่ ถึงแม้อาจจะดูแปลกปลอมไปบ้าง นั่นก็คือ คอมพิวเตอร์ พร้อมระบบสื่อสารไร้สายที่ทันสมัยที่สุด และโทรทัศน์จอยักษ์
สำหรับบ้านที่กำลังจะสร้างในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร มีชื่ออย่างหรูหราสมความอลังการว่า "Amata Castle" เฉพาะแค่ค่าออกแบบก็ปาเข้าไป 30 กว่าล้านบาท วิกรมประมาณว่า ค่าก่อสร้างคงบานปลายไปถึงหลายพันล้านบาท แต่หลังจากดีดลูกคิดในหัวแล้ว เขาเชื่อว่าคุ้มค่า "อันนี้จะต้องกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของประวัติศาสตร์ไทย คุณเห็นแล้วจะบอกว่าผมบ้า"
บนพื้นที่ 900 ไร่ เนื้อที่ส่วนหนึ่งถูกเนรมิตเป็นส่วนของปราสาทอมตะหน้ากว้าง 100 กว่าเมตร ขนาดใหญ่กว่าคลับเฮาส์ 3-4 เท่า ปราสาทหินทรายฝังบรอนซ์หลังใหญ่นี้จะอยู่ติดอ่างน้ำใหญ่ขนาดทะเลสาบ หลังคามีทั้งทรงจั่วแบบไทย ลาว พม่า หรือหลังคาโดมแบบแขก มีเสาสี่หน้าสไตล์ขอมถูกปั้นเป็นรูปปู่ทวด ย่าทวด ปู่ และย่าของวิกรม มีทั้งสเตเดียมแบบกรีกโรมัน และห้องบอลรูมจุคนได้หลายร้อยคน สวนตกแต่งเป็นป่าหิมพานต์
ขณะที่ชั้นบนเป็นพื้นที่อาศัยของคนตระกูลกรมดิษฐ์ชั้นล่างเปิดเป็นหอศิลป์จัดโชว์ภาพเขียนของศิลปินใหญ่ของเมืองไทย เพื่อเป็นสื่อกลางประสานงานระหว่างผู้ซื้อกับเจ้าของผลงาน และยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของสะสมโบราณและของใช้ส่วนตัวที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อวิกรม
"ผมกำหนดให้เอาวันเดือนปีเกิดของผมมาคิดเป็นสัดส่วนในการออกแบบที่นี่ และจะมีอยู่หลุมหนึ่งที่เป็นจุดที่เส้นทุกเส้นมาชนกันหมด ณ ตำแหน่งนี้ตอนเที่ยงวันของวันที่ 17 เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นวันเกิดผม จะเกิดลำแสงเป็นเส้นเดียวกันออกมา อย่างนี้มันส์ดีไหม"
บริเวณทางเข้าบ้าน ทำเป็น "สุสาน" มีรูปปั้นปู่ย่าตาทวดตระกูลกรมดิษฐ์มานั่งเรียงกันตาม family tree ราวกับงานสมาคมคนในตระกูล ไม่เฉพาะคนตายที่มีหลุม คนเป็นก็จะมีหลุมเตรียมไว้ให้แล้ว หากใครชอบพันธุ์ไม้อะไรจะได้หาเอาไปปลูก และเป็นกุศโลบายในการเตรียมตัวตายของคนเป็น สมกับคำที่วิกรมพูดบ่อยๆ ว่า มนุษย์เราเกิดมาจากศูนย์ และกำลังจะเดินกลับไปสู่ศูนย์กันทุกคน"
วิกรมไม่เพียงเตรียมพื้นที่ทำสุสานสำหรับครอบครัว แต่เขายังเผื่อแผ่ไปถึงพนักงานในนิคมฯ ด้วย...
"ตอนนี้เรามีหมู่บ้านหนึ่งที่ผมขายให้ลูกน้องอยู่ในราคาถูก ที่ดินริมสนามกอล์ฟจากราคาวาละ 4 หมื่นบาทขึ้นไป ผมขายพวกเขา 8-9 พันบาท พอตายผมก็เตรียมเกาะไว้เกาะหนึ่งในนิคมฯ ไว้สำหรับฝังกระดูกพนักงาน เขาจะได้ไม่ต้องอดเวลาตายไปแล้ว เพราะเราจะมีพนักงานมาไหว้เสมอ อันนี้เรียกว่า Amata Service Forever... มี CEO คนไหนดูแลลูกน้องขนาดตายแล้วก็ยังดูแลไหม (หัวเราะ)"
อาจจะดูน่าขบขันหรือเป็นเรื่องตลกไร้สาระ แต่วิกรมยืนยันว่า นี่เป็นอีกหนึ่งความฝันที่เขาจะทำขึ้นในอาณาจักรของเขา... และยังบอกด้วยว่าเขามีความฝันมันๆ อย่างนี้อีกเยอะ ซึ่งจะถูกเรียบเรียงอยู่ในหนังสือเล่มที่ชื่อ "คนล่าฝัน" ที่จะมาเปิดเผยว่า เขามีความฝันอะไรบ้างและยังมีฝันอะไรในส่วนที่เหลือของชีวิต
นี่เป็นเพียงความฝันบางส่วนของวิกรม ตลอดชั่วชีวิต "นักฝัน" อย่างวิกรม เขาเชื่อว่าเขาไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ชีวิตหนึ่งเขาได้ล่าฝันของตนเองได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเมืองชื่อ "อมตะ" การสร้างบ้านชื่อ "อมตะ คาสเซิล" การสร้างเวทีให้กับวงการศิลปะภายใต้ชื่อ "มูลนิธิอมตะ" หรือการสร้างสุสานให้ตระกูล ฯลฯ
"คนอาจจะหาว่าผมเป็นโรคจิต แต่ผมคิดว่าคนที่มองผมอย่างนั้นไม่ปกติ เพราะเขามองคนปกติไม่ปกติ ผมคิดว่าผมปกติ เพราะผมไม่ได้ฝันอะไรไร้สาระ ผมฝันอยู่บนข้อเท็จจริง และเป็นฝันที่มีประโยชน์กับคนอื่นด้วย ถ้าถามว่าผมเป็นมืออาชีพทางด้านไหน ผมคงนิยามตัวเองว่า "นักฝันมืออาชีพ"
|
|
|
|
|