Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2537








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2537
"ไม้สักทอง หลอกกันเล่นหรือเปล่า"             
 


   
www resources

โฮมเพจ ศุภาลัย

   
search resources

ศุภาลัย, บมจ.
Agriculture
สัญชัย ประเสริฐสุวรรณ




ไม้สักทอง ราชาแห่งพันธ์ไม้เศรษฐกิจ เริ่มจุดประกายให้กับธุรกิจสวนเกษตรครั้งใหม่ คราวนี้มีการประกันการขายในแต่ละปีด้วยราคาที่ดึงดูดใจลูกค้า ทุกวันนี้กว่า 20 โครงการที่กำลังโฆษณาชวนเชื่อตามสื่อต่าง ๆ ทำให้หลายคนต้องตั้งคำถามว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน หรือว่าเป็นแค่กลยุทธ์การขายที่ดินเปล่า ๆ เท่านั้น

"ต้นกล้าสักทองต้นนี้ เรากล้ารับประกันว่าคุณมีสิทธิรวยเงินล้าน"

"เพียงไม่กี่ปี ก็เป็นเศรษฐีในพริบตา"

"สักทองท่อนนี้ ลงทุนเพียง 25 บาท"

"ถ้อยคำในแผ่นโบชัวร์ของโครงการสวนป่าสักทองต่าง ๆ เหล่านี้ กระชากใจนักลงทุนรายย่อยได้อย่างได้ผลทีเดียว ใครเล่าไม่อยากรวย ในเมื่อรายละเอียดของขั้นตอนการเป็นเศรษฐีตามแผ่นโฆษณาเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าไม่ยากเกินไปนัก

ธุรกิจสวนเกษตรเคยบูมสุดขีดไปพร้อม ๆ กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย ์เมื่อประมาณปี 2530 แล้วมาตกต่ำจนเรียกได้ว่าตายสนิทตั้งแต่ปี 2534 ถึงปัจจุบัน ในขณะที่ธุรกิจทางด้านที่อยู่อาศัยอื่น ๆ ต้องระดมทุกกลยุทธ์ทางด้านการตลาด ไม่ว่าลด แลก แจก แถม ลดเงินดาวน์ ยืดเงินผ่อน และจูงใจด้วยแบบบ้านที่สวยงามวิจิตรพิสดารทุกกระบวนท่า ธุรกิจสวนเกษตรเองก็มีการปรับกระบวนยุทธ์ต่าง ๆ เช่นกัน เพียงแต่เป็นไปในความรุนแรงที่น้อยกว่าที่อยู่อาศัย เพราะธุรกิจประเภทนี้ ไม่ใช่ปัจจัยที่จำเป็นเท่าบ้าน ซึ่งเป็นความต้องการอันดับแรกของบุคคลทั่วไป

แต่ถึงอย่างไร สำหรับเจ้าของโครงการสวนเกษตรก็ไม่อาจนิ่งนอนใจอยู่เฉย ๆ รอให้ภาวะธุรกิจที่ดินหวนกลับมาคึกคักอีกเองตามสภาวะได้ เพราะเม็ดเงินที่จมลงไปกับที่ดินก็ยังขายไม่ออก งอกงามออกดอกออกผลเป็นดอกเบี้ยทุกวัน เป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ทับถมขึ้นทุกวัน จึงต้องดิ้นรนหาทางออกให้ได้

สวนป่า "สักทอง" เกิดขึ้นมา เพื่อช่วยชุบชีวิตผู้ประกอบการอีกหลาย ๆ รายที่ซื้อที่ดินทิ้งค้างเอาไว้โดยทำประโยชน์อื่นใดได้ยากแล้วแท้ ๆ

ทำไมต้องเป็นสัก (TEAK) สักเป็นไม้ที่มีชื่อเสียงรู้จักแพร่หลายกันทั่วโลก เพราะเป็นไม้ที่มีคุณภาพสูงและลวดลายธรรมชาติที่สวยงาม เป็นไม้เศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้กับผู้ปลูกอย่างงดงาม พร้อม ๆ กับความต้องการใช้ที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี

ตัวเลขจากกองนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้คาดคะเนไว้ว่า ในปี 2537 ปริมาณความต้องการใช้ไม้สักจะมีประมาณ 181,000 ลูกบาศ์กเมตร ในขณะที่ปี 2540 เพิ่มขึ้นเป็น 208,000 ลบ. เมตร ปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 235,000 ลบ. ม และในปี 2548 จะเพิ่มขึ้นถึง 281,000 ลบ.ม.

ในขณะที่สถิติจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรระบุไว้ว่าปริมาณไม้สักที่ทำออกจากป่า เมื่อปี 2532 นั้นมีเพียง 26,234 ลบ.ม เท่านั้นเอง ราคาของไม้สักจึงได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความต้องการมีสูงกว่าซัพพลายหลายเท่าตัว

ตลาดไม้สักไม่มีวันตาย นี่คือจุดดึงดูดใจประการแรก

สาเหตุต่อมาก็คือ ในขณะที่สวนเกษตรพืชผลอย่างอื่น เช่นมะม่วง มะขาม ทุเรียน ส้มโอ ส้มเขียวหวาน ซึ่งเป็นไม้พืชผลยอดฮิตในระยะแรก ๆ ของธุรกิจการเกษตรนั้น ในช่วงเวลา 5 ปี จะได้ผลผลิตก็จริงอยู่แต่หมายถึงว่าไม่ว่าราคาในท้องตลาดในช่วงนั้นจะเป็นอย่างไร พืชผลที่สุกแล้วก็จำเป็นจะได้รับการเก็บเกี่ยวและขายออกไป ในขณะที่ไม้สักนั้นมีโอกาสที่จะเลือกปล่อยขายได้มากกว่านั้น เพราะยิ่งจำนวนปีมากขึ้นขนาดความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลายของลำต้นก็จะกว้างขึ้น ขนาดของต้นก็สูงขึ้นราคาจะแพงตามขึ้นด้วย

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่เป็นตัวเร่งให้ธุรกิจสวนสักเป็นที่นิยมก็คือ พรบ. สวนป่าปี 2535 ซึ่งมีสาระสำคัญในการเปิดโอกาสให้เอกชนผู้ปลูกป่าสามารถตัดไม้มาขายได้ โดยถูกต้องตามกฎหมาย

จากตัวเลขที่ "ผู้จัดการรายเดือน" ได้สำรวจพบปรากฏว่า ขณะนี้มีธุรกิจปลูกสวนสักทองของเอกชนไม่ต่ำกว่า 20 โครงการที่ประกาศขาย โดยเฉพาะในจังหวัดเพชรบูรณ์นั้นนักวิชาการกล่าวว่าที่นั่นเป็นถิ่นไม้สักที่ดีที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันในเพชรบูรณ์มีประมาณ 10 โครงการ ขนาดตั้งแต่ 50 ไร่ขึ้นไป ส่วนโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ 700 ไร่ขึ้นไปมีประมาณ 5 โครงการ

และจากจุดเด่นดังกล่าวจึงมีการคาดการณ์กันในหมู่ผู้ประกอบการว่า แนวโน้มของการปลูกสวนป่าสักทองจะมาแรง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่มีที่ดินอยู่แล้วในมือ แต่ยังไม่มีช่องทางที่จะลงทุนจะหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะที่ดินในจังหวัดรอบ ๆ กรุงเทพฯ จะเป็นจุดขายหนึ่งที่สำคัญเพราะเป็นทำเลที่ใกล้ ลูกค้าเดินทางไป-มาโครงการได้สะดวก ส่วนสภาพดินนั้นจะเหมาะสมหรือไม่นั้น ต้องเป็นเรื่องที่เจ้าของโครงการจะต้องหาวิธีการกันต่อไป

ย้อนหลังไปถึงสวนป่าในยุคแรก ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมี พรบ. สวนป่าปี 2535 โครงการ "สักทองสร้างฝัน" ซึ่งดำเนินการโดยสหกรณ์เคหเกษตร และสหกรณ์จำกัด บนพื้นที่ในอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ นับเป็นโครงการนำร่องโครงการแรกของประเทศในเชิงพาณิชย์ ในขณะที่ก่อนหน้านั้นกรมป่าไม้จะดำเนินการไปในลักษณะของการอนุรักษ์มากกว่า

สัญชัย ประเสริฐสุวรรณ รองผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร รองประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงการทำโครงการสวนเกษตรว่าได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2533 ในช่วงนั้นจะเน้นหนักไปทางด้านการปลูกไม้ผลเช่นมะม่วง ซึ่งจากประสบการณ์ คาดว่าอาจจะต้องเกิดปัญหาในเรื่องของตลาดแน่นอน เพราะถ้าหากว่าบางปีมีสินค้าล้นตลาด และได้ราคาไม่ดีเท่าที่ควรก็จำเป็นต้องขาย และที่สำคัญ ถึงเวลาเก็บก็ต้องเก็บก่อนที่จะเน่าเสีย ในขณะที่ต้นทุนการลงทุนและการบำรุงรักษาเท่าเดิม ซึ่งไม้พืชผลพวกนี้หากปลูกแค่ 5 ไร่ 10 ไร่ก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นพัน ๆ ไร่มีปัญหาแน่นอน

ต่อมาสัญชัยเริ่มมีแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับการปลูกสวนป่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้จุดประกายความคิดของเขาในเรื่องนี้ได้มาจากการไปดูงานที่ประเทศต่าง ๆ แถบยุโรปและไปเห็นการปลูกป่าสนที่มีการหมุนเวียนการตัดเป็นช่วง ๆ

ในปี 2534 เขาได้เริ่มทดลองปลูกป่าสักก่อนในพื้นที่ 40 ไร่ในที่สาธารณะในอำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ครั้งนั้นเป็นการปลูกเพื่อการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระชนนี หลังจากนั้นก็ตระเวนดูไม้สักที่ชาวบ้านย่านนั้นปลูกไว้ เมื่อเห็นว่าเป็นไม้ที่สามารถเจริญเติบโตได้เร็วและมีผลตอบแทนสูง ในที่สุดก็ตกลงใจให้ทางกรมป่าไม้เตรียมกล้าไม้สักไว้ให้ปลูกให้พื้นที่ 1,000 ไร่ นี่คือจุดเริ่มโครงการ

ในช่วงแรก ๆ ของการเปิดขายนั้นได้มอบหมายให้ทางสหกรณ์ฯ เป็นผู้จัดจำหน่าย และเป็นการเปิดขายกันเองอย่างเงียบ ๆ ในกลุ่มของพรรคพวกเพื่อนฝูงในราคาไร่ละ 8 หมื่นบาท มีต้นสักที่ปลูกให้จำนวน 200 ต้น จำนวนที่ขายในขณะนั้นประมาณ 1,000 ไร่ใช้ต้นกล้าประมาณ 3 แสนตัน

แต่เป็นเรื่องที่โชคร้ายอย่างมหาศาล เมื่อได้เกิดภัยธรรมชาติขึ้นคือพายุเฟส เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายนในปี 2534 ผลของพายุครั้งนั้นทำให้เกิดน้ำท่วมขังพื้นที่บริเวณดังกล่าว ต้นกล้านับแสน ๆ ต้นถูกน้ำท่วมตายหมดทันที

หลังจากเกิดเหตุ สัญชัยต้องเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ โดยมองสวนป่าสักไปในทางการค้าเพื่อธุรกิจมากขึ้น สาเหตุ เพราะเงินทุนก้อนแรกของสหกรณ์สูญเสียไปมากแล้ว และประการที่ 2 เขาเริ่มมองเห็นชัดเจนว่า ไม้สักเหมาะสำหรับการลงทุน คราวนี้เขามองเรื่องการส่งเสริมการขายเป็นหลักสำคัญด้วย การพัฒนาสวนสักเป็นกึ่งรีสอร์ท มีบ้านพักรับรอง มีระบบระบายน้ำที่ดีมีมาตรฐาน แล้วให้สหกรณ์ฯ จัดจำหน่ายกับบุคคลทั่วไปด้วย

"ผมเริ่มกลยุทธ์การขาย ด้วยการสร้างเป็นกึ่งรีสอร์ท มีบ้านพัก ขุดทะเลสาบ เพราะมองเห็นความจริงว่าอำเภอชนแดน เพชรบูรณ์นั้นห่างจากกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ถ้าเขามาดูโครงการและมีที่พักให้ย่อมดึงดูดใจได้มากกว่า ข้อสำคัญผมมองว่าต่อไปธุรกิจสวนป่าสักต้องเกิดขึ้นอีกมากความพร้อม และความสวยงามของโครงการเป็นสิ่งที่จำเป็น" สัญชัยอธิบายเพิ่มเติม

โครงการสวนป่าสักทองสร้างฝัน ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 6,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่จัดสรรประมาณ 3,000 ไร่ พื้นที่ ๆ เหลือจัดเป็นรีสอร์ทเพื่อบริการสมาชิก ในพื้นที่แบ่งขายจัดสรรเป็นแปลง ๆ ละ 4 ไร่ ทุกแปลงจะมีต้นสักทองประมาณ 800 ต้น ขณะนี้มีเฟสแรกประมาณ 1,000 ไร่ เฟสที่ 2 ประมาณ 600 ไร่ขายหมดไปแล้ว ทางโครงการกำลังเปิดเฟส 2 ระยะ 2 ในพื้นที่ 300 ไร่ ส่วนราคาขายได้เพิ่มขึ้นจากไร่ละ 120,000 บาทเป็น 180,000 บาทในปัจจุบัน

หลังโครงการสักทองสร้างฝัน ก็มีโครงการอื่น ๆ เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย และอีกโครงการหนึ่งซึ่งเป็นที่สนใจของนักลงทุนโดยทั่วไปก็คือโครงการ "ศุภาลัย สวนสักทอง" ของบริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) โครงการนี้นับเป็นสวนสักทองของบริษัททางด้านพัฒนาที่ดิน ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นโครงการแรก

ที่ตั้งของศุภาลัย สวนสักทองอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแวดล้อมไปด้วยสนามกอล์ฟใหญ่ ๆ หลายแห่งเช่น สนามกอล์ฟแวร์มองต์ ของกลุ่มอดีตนายกสมาคมบ้านจัดสรร สายัณห์ มั่นเหมาะและสนามกอล์ฟ มิชชั่น ฮิลล์

ประทีป ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการบริษัท ศุภาลัย ได้ซื้อที่ดินแปลงนี้จำนวนประมาณ 700 ไร่ มาเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วเพื่อจุดประสงค์ที่จะทำโครงการสนามกอล์ฟ ธุรกิจยอดฮิต ในช่วงนั้นเช่นเดียวกับนักธุรกิจรายอื่น ๆ แต่ปรากฏว่ายังไม่ได้ทันลงมือพัฒนา สนามกอล์ฟก็กลายเป็นธุรกิจที่เฟ้ออย่างหนัก เพราะมีหลายโครงการได้เกิดขึ้น พร้อม ๆ กัน ปัญหาในการขายจึงเกิดขึ้น ที่ดินแปลงนี้เลยทิ้งว่างเปล่าไว้

จนในที่สุดมองเห็นว่าศักยภาพของที่ดินย่านนั้นสามารถพัฒนาเพื่อการปลูกสักได้ การศึกษาอย่างจริงจังเลยเกิดขึ้น และเปิดตัวไปเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา

"โครงการนี้เป็นโครงการที่เล็กที่สุดของศุภาลัย มูลค่าการลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งนับว่าน้อยมากหากจะเทียบกับโครงการอื่น ๆ ในบริษัท แต่เราทำเพราะเห็นว่าเป็นที่ดินที่ซื้อทิ้งไว้นานแล้ว ทำประโยชน์อย่างอื่นยาก และที่สำคัญเป็นโครงการสร้างงานให้กับชาวบ้านในย่านนั้น และเป็นการสร้างภาพพจน์ให้กับบริษัทด้วย กำไรคาดว่าจะได้น้อยมาก" อธิป พีชานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปบริษัท ศุภาลัย กล่าวถึงความเป็นมา

ศุภาลัย สวนสักทองมีขนาดแปลงที่แบ่งขายแปลงละ 1 ไร่ จำนวนสัก 400 ต้น ราคาขาย 399,000 บาท จ่ายตอนวันจอง 4,000 บาท ทำสัญญา 4,000 บาท ผ่อนดาวน์ 20 งวด ๆ ละ4,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนธนาคาร 10 ปี ประมาณ 4,280 บาทต่อเดือนในอัตราดอกเบี้ย 11% ต่อปี ขณะนี้ในโครงการกำลังเริ่มทำงานทางด้านโยธา เช่นขุดท่อเก็บน้ำ ทำถนนและวางระบบส่งน้ำ โดยคาดว่า จะเริ่มปลูกประมาณ เดือนมีนาคม 2537

และเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาโครงการ "รักษ์สักทอง" ได้เปิดตัวอย่างใหญ่โตตามสไตล์ของ พงศกร ญาณเบนจวงศ์ผู้เป็นเจ้าของแฟลตปลาทองการัตอันลือลั่น โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 2,000 ไร่ ในตำบลหนองหญ้าปล้อง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรีและได้กำหนดราคาขายต่อไร ไว้ที่ 340,000-380,000 ดาวน์ 30% ผ่อนดาวน์ได้นาน 36 เดือน ผ่อนธนาคารในอัตราดอกเบี้ย 11% ระยะเวลา 15 ปี ประมาณ 2,707 บาทต่อเดือน

ถ้าพิจารณาลงไปถึงโครงการที่กำลังเปิดขายอยู่ตอนนี้ รักษ์สักทองจะเป็นโครงการที่อยู่ทางภาคใต้ที่มีฝนค่อนข้างชุก และอาจจะมีคำถามตามมาว่าพื้นที่นั้น ๆ เหมาะสำหรับการปลูกสักได้แค่ไหน

พงศกรเองได้เตรียมศึกษาในเรื่องนี้เช่นกัน เขาได้ดึงนักวิชาการผู้มีความเชี่ยวชาญ 2 คนมาเป็นที่ปรึกษาโครงการคือ ธงชัย เวชชสัสถ์ ซึ่งประจำอยู่ที่กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอีกท่านหนึ่งก็คือ อวบ สารถ้อย ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยหวังว่าความสามารถทั้ง 2 รายนี้จะทำให้ทางโครงการมีหลักประกันได้ว่าจะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับลูกค้าได้

ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพันธ์ไม้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า ทำเลในการปลูกสักนั้น จังหวัดทางภาคเหนือและภาคเหนือตอนล่างของประเทศเป็นทำเลที่มีความเหมาะสมในการปลูกสักอย่างมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีการระบายน้ำได้ดี ดินมีความเป็นกลางหรือด่างเล็กน้อย โดยมีค่าของความเป็นกรด-ด่าง ระหว่าง 6.5-7.5 มีปริมาณน้ำฝนที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ระดับความสูงของพื้นที่ไม่เกิน 700 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่ไม่ได้หมายความว่าจังหวัดอื่น ๆ จะปลูกไม่ได้ ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงของผู้ประกอบการที่จะต้องดูแลในเรื่องที่ดิน และการจัดระบบการให้น้ำ ให้เหมาะสมกับความต้องการของต้นสัก

"สำหรับการปลูกสัก เรื่องของน้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุด น้ำท่วมขังก็ไม่ได้ ขาดน้ำก็ไม่ได้ ดังนั้นในพื้นที่ราบปกติควรมีที่เก็บน้ำประมาณ 1 ใน 10 ของพื้นที่จำนวน 100 ไร่ ส่วนระบบน้ำหยด เป็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ และคาดว่า ต่อไปคงได้รับความนิยมมากขึ้นและราคาต้นทุนจะถูกลง การประกันการจัดการเรื่องน้ำ และที่ดินเป็นเรื่องหนึ่งที่คนซื้อควรต้องรู้ไว้"

ท่ามกลางความลังเลใจของกลุ่มลูกค้าจุดขายอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ประกอบการพร้อมกันทำ คือการประกาศประกันราคาขายเนื้อไม้ในแต่ละช่วงเวลา โดยส่วนใหญ่จะเริ่มตัดต้นครั้งแรกในปีที่ 5-6 ในราคาประกันต้นละ 500-600 บาท ตัดรอบที่ 2ในปีที่ 11 ในราคาประกันต้นละ 2,500-3,000 บาทแต่มีบางโครงการให้ราคาสูงถึงต้นละ 5,000 บาท บางโครงการจะตัดรอบที่ 2 ในปีที่ 12-15 ในราคาประกันต้นละ 12,000-15,000 บาท ส่วนโครงการที่มีการตัดรอบที่ 3 ในปีที่ 15-16 ประมาณ 1,200 บาทขึ้นไป

แต่ก็มีบางโครงการที่จะไม่ประกันราคาในแต่ละช่วง เช่นโครงการ สวนป่าสักทองของสหกรณ์การเกษตรฯ

"ทางสหกรณ์ จะไม่มีการประกันราคา เพราะยังไม่อยากให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนให้กับผู้ซื้อซึ่งดูเหมือนการชี้นำที่มีลักษณะของการโฆษณาชวนเชื่อเกินไป" สัญชัยให้เหตุผล

นอกจากการประกันราคาแล้วบางโครงการเช่นรักษ์สักทองได้ระบุเปรียบเทียบผลตอบแทนกับการนำเงินไปฝากธนาคารให้เห็นกันชัด ๆ อีกว่า ถ้าเงินต้น 680,000 บาท (เป็นราคาของที่ดิน 1 แปลง จำนวน 2 ไร่ จำนวนต้นสัก 400 ต้น) ดอกเบี้ย 8% ต่อปี ภายในเวลาสิ้นปีที่ 15 จะได้เงิน 2,157,075 บาท แต่การลงทุนด้วยการปลูกสักทองจะได้ผลตอบแทนภายในสิ้นปีที่ 15 จะได้เงิน 3,360,000 บาท โดยประกันราคาต้นสักทองอายุ 6-8 ปีในราคาต้นลุ 1,800 บาทอายุ 12-15 ปีราคาต้นละ15,000 บาท

ดังนั้นการลงทุนด้วยการซื้อที่ดิน เพื่อปลูกสักทอง รวมทั้งมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น และผลตอบแทนจากการปลูกสักทองภายในสิ้นปีที่ 15 จะได้เงินสูงถึง 13,836,778 บาท โดยอ้างว่ามูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นทุกปี 20% ได้จากราคาประเมินของกรมที่ดินโดยเฉลี่ยของการขึ้นราคาประเมินที่ดินย้อนหลังไป 15 ปีจากปี 2521-2536

ในขณะที่โครงการศุภาลัยสวนสักทอง ได้เปรียบเทียบการลงทุนกับการฝากเงินธนาคารไว้ว่า ที่ดิน 1 ไร่พร้อมต้นสัก 400 ต้นผลตอบแทนรวมในการปลูกระยะเวลา 15 ปี ราคา 1,700,000 บาท ในขณะที่ราคาที่ดินในเวลา 15 ปี ก็ยังเท่ากับราคาเดิมเมื่อเริ่มขาย (โดยไม่ได้คิดมูลค่าเพิ่ม) คือ 3,990,000 บาทต่อไร่ ก็จะเป็นเงินเท่ากับ 5,690,000 บาท และถ้าหากฝากธนาคารดอกเบี้ย 9% ต่อปีจากเงินต้น 3,990,000 บาท ดอกเบี้ยต่อปี 35,910 บาท ถ้า 15 ปีเท่ากับ 538,650 บาท รวมกับเงินต้นเป็นเงิน 937,650 บาท ความแตกต่างกับการปลูกสักเห็นได้ชัด ๆ คือ 4,752,350 บาท

ตัวเลขดังกล่าวจาก 2 โครงการนี้ หากเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่น่าฝันหวานเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?

บุญวงศ์ ไทยอุตสาห์ จากคณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้อธิบายความเป็นไปได้ของไม้สักในราคาที่มีการประกันว่า จุดขายของไม้สักจะอยู่ที่วงปีและเนื้อไม้วงปีต้องสวย แน่น ลำต้นต้องตรงซึ่งการที่ไม้จะเป็นอย่างนี้ได้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ดินและภูมิอากาศรวมทั้งวิธีการจัดการของผู้ประกอบการ

ที่สำคัญผู้ซื้อต้องเข้าใจว่า ต้นสักจะแบ่งออกเป็น 5 ชนิดคือสักทอง สักหิน สักหยวก สักขี้ควายและสักไข่ ต้นกล้าสักที่เอามาปลูกนั้นแม้จะเอามาจากต้นกล้าสักทอง แต่ก็อาจจะไม่เป็นสักทองก็ได้ แต่จะเป็นสักพันธุ์อื่น ๆ แทน ขึ้นอยู่กับสภาพทั่วไปของสิ่งแวดล้อมดังกล่าว แต่ราคาสักทองเป็นราคาที่แพงที่สุด เพราะจะเป็นเนื้อไม้ที่คุณภาพดี เป็นสีเหลืองทองสวยงาม

"คนซื้อจะไม่มีทางรู้ว่า ต้นสักของตนจะเป็นไม้สักทองหรือไม่จนกว่าจะถึงเวลาตัด ดังนั้นไม่ควรฝันหวานตามราคาที่ประกันไว้นัก" บุญวงศ์เตือน

สุทัศน์ เดชวิสิทธิ์ ได้เขียนถึงราคาไม้สักทองไว้ในหนังสือชื่อไม้สักทองการลงทุนปลูกไม้สักทองเพื่อการค้า ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในวงการทั่วไปว่าความเป็นไปได้ของราคาต้นไม้ที่มีอายุ 5 ปี ในที่ดินคุณภาพปานกลาง การดูแลรักษาปานกลาง ตั้งราคาได้ในต้นละ 300 บาท ไม้สักทองอายุ 10 ปีจะมีราคาที่ประมาณ 900 บาท และไม้สักทองที่มีอายุประมาณ 15 ปีราคาขายประมาณ 9,000 บาท ส่วนไม้สักทองอายุประมาณ 20 ปี จะมีราคาต้นละไม่ต่ำกว่า 18,000 บาท

ถ้าเทียบราคาประกันของโครงการเอกชนทั่วไปจะเห็นได้ว่าการตัดในระยะแรก และระยะที่ 2 ราคาของเอกชนจะสูงมาก ในขณะที่การตัดขายในระยะปีที่ 15 และปีที่ 20 ราคาจะไม่ค่อยต่างกันนัก นอกจากบางโครงการเท่านั้น

อย่างไรก็ตามโอกาสที่ไม้สักจะราคาเพิ่มสูงขึ้นนั้นมีแน่นอน ตัวเลขจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ระบุว่าไม้สักคุณภาพปานกลาง ปริมาตร 0.51-0.55 ลูกบาศก์เมตรต่อต้นเมื่อปี 2530 ราคาประมาณ 4,599 บาท ปี 2531 เพิ่มขึ้นเป็น 5,253 บาท ปี 2532 เพิ่มขึ้นอีกเป็น 7,414 บาท ในขณะที่ปัจจุบัน ราคาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท

"ทุกวันนี้ต้องมีคนโทรศัพท์มาขอคำปรึกษาจากผมเพื่อสร้างสวนสักทองบ่อยมาก ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะการปลูกสัก คือการสร้างป่า แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือผู้ขายไม่ควรดึงดูดใจผู้ซื้อ ด้วยการประกันราคาที่สูงเกินไป" ดีพร้อม ไชยวงศ์เกียรติ ให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการรายเดือน"

มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นทั้งผู้สร้าง และผู้ทำลายความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่เงื่อนไขของการทำลายล้างธรรมชาติอย่างรวดเร็ว การสร้างสวนป่า แม้จะให้ความสำคัญในแง่ของเศรษฐกิจ และการลงทุนก็ยังเป็นเรื่องที่ควรส่งเสริม เพราะก็ยังเกิดการปลูกป่าหมุนเวียน

แต่ที่สำคัญผู้ประกอบการเอง ต้องทำธุรกิจนี้ด้วยความรับผิดชอบ ดูแล และทำนุบำรุงสงวนป่าตามที่รับปากไว้ให้กับลูกค้า การทิ้งโครงการหลังจากขายไปแล้วเพียงปีหรือ 2 ปี แล้วปล่อยให้ลูกค้าต้องประสบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาต่อไป ก็จะเป็นการทำลายอนาคตของธุรกิจสวนป่าลงอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่นที่เคยเกิดขึ้นแล้วกับธุรกิจสวนเกษตรย่านชานเมือง ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ไว้ในเรื่องของการไม่ดูแลรักษาโครงการจนต้องปล่อยให้เป็นสวนที่มีทุ่งหญ้ารกร้าง

แต่ใครละจะเป็นผู้รับประกันได้ ดังนั้นต้องเป็นเรื่องที่กลุ่มลูกค้าจะต้องพิจารณากันเอง การมองดูตัวเลขการประกันราคาที่สวยหรูเป็นความคิดที่ผิด เพราะจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่พูดถึงมาแล้ว ตัวเจ้าของโครงการและผู้ประกอบการ เป็นเรื่องสำคัญในการพิจารณา เพราะเจ้าของโครงการ กลุ่มนั้น ๆ จะต้องอยู่ดูแลไม้สักทองเราเป็นเวลากว่า 10 ปี การดูให้ลึกไปถึงถิ่นที่ตั้งของโครงการว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนในการปลูกสัก ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเช่นกัน เช่นเดียวกับการดูรายละเอียดของสัญญาซื้อขาย ส่วนใหญ่แล้วการประกันราคาขายและข้อผูกมัดบางเรื่องผู้ประกอบการจะใส่ไว้ในแผ่นโบชัวร์ แต่ไม่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขาย

ปัญหาเรื่องฟ้องร้องต่าง ๆ อาจจะเกิดขึ้นแน่นอนเช่นเดียวกับโครงการบ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมแต่ก็ยังดีที่ยังมีโฉนดที่ดินเปล่าไว้ปลอบใจแทน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us