ไทยธนาคารเพิ่มทุน 940 ล้านหุ้น เผยขายกองทุนต่างชาติ TPG Newbridge 24.99% 500 ล้านหุ้น ได้เม็ดเงิน 5-7 พันล้าน ขีดเส้นเสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน หลังจากนั้นเดินหน้าขายหุ้นเพิ่มทุนส่วนที่เหลือให้ผู้ถือหุ้นเดิม หลังเพิ่มทุนบีไอเอสเพิ่มเป็น 13% จากปัจจุบัน 9.6% พร้อมประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีขาดทุน 1,087 ล้าน หม่อมอุ๋ยให้อำนาจผู้บริหารแต่ขอเหตุผลขายต่างชาติ ขณะที่คลังรอคำขออนุญาตหากต่างชาติถือหุ้นเกิน 25%

นายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) (BT) เปิดเผยว่า คณะกรรมการของธนาคารฯ ได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 9,400 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญจำนวน 940 ล้านหุ้น ในราคาพาร์ 10 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารมีหุ้นจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 1,493,450,000 หุ้น เป็น 2,433,450,000 หุ้น ทั้งนี้การเพิ่มทุนดังกล่าวก็เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต หลังจาการเพิ่มทุนเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้บีไอเอสของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 12-13% จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 9.6 %

ทั้งนี้ ธนาคารจะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวในสัดส่วนไม่เกิน 24.99% ประมาณ 500 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายอย่างเฉพาะเจาะจงกับ TPG Newbridge ซึ่งขณะนี้ได้ตกลงกันในขั้นต้นแล้ว และจะดำเนินการทำ Due Diligence รวมถึงการขออนุมัติในขั้นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และได้รับอนุญาตในการทำธุรกรรมดังกล่าวจากทางการด้วย ซึ่งธนาคารคาดว่าจะได้เงินจากการขายให้ TPG Newbridge ประมาณ 5-7 พันล้านบาท โดยคาดว่าเสร็จขั้นตอนภายใน 3 เดือนนี้ ส่วนที่สองของหุ้นเพิ่มทุน ธนาคารจะเสนอขายให้กับนักลงทุน และกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในต้นปีหน้า

“เราไม่ได้ใช้วิธีการของการเซ็นเอ็มโอยู แต่เราใช้วิธีการทำหนังสือมาสอบถาม แล้วก็มีการตอบรับไปแล้ว และขณะนี้ก็ยังมีขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องดำเนินการต่อไป ซึ่งการเจรจานั้น ธนาคารก็เจรจากับหลายๆ แห่ง และได้ดำเนินการมาประมาณ 2 ปีแล้ว จึงเลือกที่จะตกลงกับรายนี้ เนื่องจากทาง TPG Newbridge มีความเข้าใจการทำงานของธนาคารเป็นอย่างดี ซึ่งหากมีตกลงกันอีกระดับ ก็จะต้องยื่นขออนุญาตในการเข้าถือหุ้นของต่างชาติกับแบงก์ชาติเช่นเดียวกับกรณีแบงก์กรุงศรีฯ กับจีอี แคปปิตอล” นายพีรศิลป์กล่าว

นายพีรศิลป์กล่าวว่า การเข้ามาถือหุ้นของ TPG Newbridge นั้นจะทำให้ฐานเงินทุนของธนาคารแข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้ว่าธนาคารจะมีผู้ร่วมทุนใหม่เป็นชาวต่างประเทศ แต่ในส่วนของการดำเนินงานหรือผู้บริหารต่างๆ ก็ยังคงดำเนินการด้วยคนไทยต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของธนาคารที่จะมีผู้ถือหุ้นเป็นชาวต่างประเทศ ในส่วนของ TPG Newbridge เองก็มีจุดที่น่าสนใจหลายเรื่องที่จะช่วยเสริมธุรกิจของธนาคารได้ ไม่ว่าจะเป็นงานด้านเทคโนโลยี บุคลากร และประสบการณ์ด้านต่างๆ และทาง TPG Newbridge เองก็เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ในหลายๆ ประเทศอยู่แล้ว

การเข้ามาถือหุ้นของ TPG Newbridge เชื่อว่าเป็นการเข้ามาถือหุ้นในระยะยาวไม่ต่ำกว่า 5-7 ปี รวมทั้งยังเป็นพันธมิตรที่มีความรู้ความสามารถแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี ทำให้จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง สนับสนุนงานบริหารของธนาคารได้เป็นอย่างดี

สำหรับในส่วนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารในสัดส่วน 48.98% นั้น ได้มีการหารือกันแล้ว และทางกองทุนฟื้นฟูตัดสินใจที่จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูเหลืออยู่ประมาณ 30% กว่า แต่สัดส่วนที่ผู้ถือหุ้นใหม่จะเข้ามาถือก็จะมากกว่าส่วนที่กองทุนฟื้นฟูถืออยู่

“กองทุนฟื้นฟูเองก็ไม่มีนโยบายที่จะขายหุ้นที่ถือไว้ ขณะที่ธนาคารก็ต้องมีการขยายงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องมีการเพิ่มทุน เพื่อให้มีเงินกองทุน (BIS) เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งต้องมีการขยายสาขาและธุรกิจอื่นๆ จึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนเพิ่ม และการเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้ธนาคารสามารถดำเนินธุรกิจและขยายธุรกิจไปได้อีก 5 ปี และแม้ว่าธนาคารจะเพิ่มทุนในจำนวนที่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้ขายหุ้นหมดเพียงครั้งเดียว แต่ก็เป็นการขอก้อนใหญ่แล้วทยอยขายหลังจากที่เสร็จจากดีลกับ TPG Newbridge แล้ว” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคารกล่าว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเจรจากับกองทุนฟื้นฟูในเรื่องของ Gain Loss Sharing ยังไม่แล้วเสร็จ และการเจรจากับ TPG จะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง จึงใคร่ขอให้นักลงทุนทำการพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ในกระบวนการการตัดสินใจลงทุนตามสมควร

TPG Newbridge ที่เป็นแกนหลักของนักลงทุนกลุ่มนี้ เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นในปี 2537 โดยกลุ่มบริษัทอเมริกันคือ Texas Pacific Group และ Blum Capital partner เพื่อเป็นกองทุนที่มุ่งลงทุนในตลาดเอเชีย โดยปัจจุบัน TPG Newbridge บริหารจัดการเงินลงทุนรวมกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และกองทุนต่างๆ ภายใต้ Texas Pacific Group ได้มีการลงทุนในบริษัทต่างๆ กว่า 50 พอร์ตการลงทุน ซึ่งมีรายได้รวมประมาณ 65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.47 ล้านล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารในครึ่งปีแรกปี 2549 ธนาคารมีผลขาดทุน 1,087 ล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนจากรายการพิเศษ เนื่องจากธนาคารหมดภาระการบริหาร CAP ตั้งแต่สิ้นปี 2548 และได้รับทราบถึงผลกระทบที่ชัดเจนของส่วนที่โอนไปบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) แล้ว ขณะที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติชดเชยส่วนที่โอนไปบสท.แตกต่างจากเงื่อนไขการให้ชดเชยเดิมที่ธนาคารได้รับทราบ ทำให้เกิดผลกระทบรวมประมาณ 1,662 ล้านบาท ทำให้ธนาคารเกิดผลขาดทุนดังกล่าว

ปัจจุบันไทยธนาคารมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติประมาณ 5% คือ MILLEA ASIA PTE., LTD หากขายหุ้นเพิ่มทุนให้ TPG Newbridge จะทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 25% ทั้งนี้ เงื่อนไขการขออนุมัติคำขอผ่อนผันให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติในในไทยธนาคารสูงเกินกว่า 25% นั้นจะต้องขออนุญาตจากกระทรวงการคลัง ส่วนจะได้รับการผ่อนผันเช่นเดียวกับกรณีจีอีซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยาหรือไม่ แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ต้องพิจารณาเหตุผลอีกครั้ง หากเข้าเงื่อนไขเกณฑ์มาตรา 5 ทวิ ว่า เป็นการแก้ไขฐานะการดำเนินงาน ก็ไม่มีปัญหา

หม่อมอุ๋ยขอเหตุผลขายตปท.

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ไม่ขัดข้องกรณีที่ไทยธนาคารหาผู้ร่วมทุนต่างชาติรายใหม่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติเพิ่มขึ้น เพียงแต่ต้องควบคุมสัดส่วนในการเข้ามาถือหุ้นไม่ให้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ทางธนาคารไทยธนาคารจะต้องส่งหลักฐานการเข้ามาถือหุ้นของต่างชาติมายัง ธปท.และพันธมิตรใหม่ต้องเป็นสถาบันการเงินเท่านั้น

"เขาเพิ่มทุนของเขาเอง ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตราบใดที่ยังอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่พอดี เพราะเป็นแบงก์เล็กหาคนเพิ่มทุนไม่ง่ายในราคานี้ ไทยธนาคารจะต้องมีหลักฐานมาแสดงว่าสถาบันการเงินของไทยไม่สนใจจะซื้อในราคาที่เสนอ"

สำหรับหุ้นของไทยธนาคารที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินถืออยู่นั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเปิดเผยว่า ยังไม่มีนโยบายที่จะนำมาขายในตอนนี้ แม้จะมีคนสนใจก็ตาม เนื่องจากราคายังถูกเกินไป และยังคงยืนยันที่จะขายให้กับนักลงทุนรายย่อยในประเทศเท่านั้น