นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์
ได้ประกาศนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์สู่ศตวรรษที่ 21 แก่บรรดาผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์
เนื่องในในโอกาสครบรอบ 82 ปี เครือเจริญโภคภัณฑ์และเจียไต๋
โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ยังให้ความสำคัญในธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหาร
ธุรกิจโทรคมนาคม และธุรกิจค้าปลีก ส่วนในจีนนอกจาก 3 ธุรกิจหลักดังกล่าวแล้ว ยังมีธุรกิจมอเตอร์ไซค์
ซึ่งกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจคือการสร้างเครือข่ายการขาย และการสร้างเครื่องหมายการค้า
(Trademark) ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อเป็นผู้นำในธุรกิจการค้าโลก รวมทั้งให้ความสำคัญกับธุรกิจขนส่ง
(Logistics) และศูนย์รับส่งและกระจายสินค้า (Distribution Center) เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็น
“Global Thai Company”
“ปัจจุบันเครือเจริญโภคภัณฑ์มีธุรกิจรวมแล้วกว่าครึ่งโลก เรามีเครือข่ายมาก แต่ยังไม่ได้ใช้เครือข่ายที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายในไทย หรือ เครือข่ายในประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น ในจีนเรามีโรงงานจำนวน
109 แห่งทั่วประเทศ และยังมีฐานการผลิตในอินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน มาเลเซีย อินโดนีเซีย
เขมร เวียดนาม พม่า ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ฯลฯ รวมจำนวนประชากรกว่า 3,000 ล้านคน
ดังนั้นหากเราสามารถใช้เครือข่ายที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ทางด้านการขายมากขึ้น
เพื่อผลิตและขายสินเค้าในประเทศนั้น ๆ และยังส่งออกไปยังประเทศที่ร่ำรวย เช่น ยุโรป
สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น รวมทั้งนำสินเค้าของประเทศดังกล่าวมาแปรสภาพเพื่อนำไปขายยังประเทศต่าง
ๆ ที่เรามีฐานหรือเครือข่ายอยู่ โดยใหัความสำคัญกับการสร้าง Trademark ของเราให้แข็งแกร่งขึ้น
ก็จะทำให้ซีพีเจริญเติบโตเป็น “Global Thai Companyที่น่าภาคภูมิใจ”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจขนส่ง ศูนย์รับส่งและกระจายสินค้า
(Logisitcs & Distribution Center) เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญ เพราะการซื้อขายสินค้าไม่ว่าด้วยวิธีใดจะต้องใช้การขนส่งสินค้าไปให้ถึงมือผู้บริโภค
ธุรกิจจะกำไรหรือไม่อยู่ที่การบริหารการรับส่งและกระจายสินค้าและการขนส่ง ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาธุรกิจดังกล่าวนี้โดยมี
มร.เลียวนาร์ด วาร์ด (Mr. Leonard H.War) อดีตประธานบริษัท วอลมาร์ท สหรัฐอเมริกา
มาเป็นที่ปรึกษา
ทั้งนี้จะพัฒนาซอฟท์แวร์ของธุรกิจการขนส่งและการกระจายสินค้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวในธุรกิจนี้
โดยใช้ศักยภาพที่มีอยู่จากบริษัท ซี.พี.เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด และจากโลตัส เป็นฐานในการพัฒนาและขยายธุรกิจขนส่งและการกระจายสินค้า
ส่วนการลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์จะขยายการลงทุนโลตัส
เพราะมีผู้บริโภคจำนวนมากถึง 1,300 ล้านคนรองรับ และด้วยชื่อเสียงที่ดีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในจีนและความพร้อมในด้านทีมงานมืออาชีพและประสบการณ์ทำให้สามาถขยายได้เต็มที่
โดยที่แผนเปิดโลตัสจำนวน 111 สาขาภายในปี 2548 ภายใต้การนำของ มร.เอล จอห์นสัน
(Mr.Alvin L.Johnson) อดีตประธานบริษัท วอลมาร์ท
นอกจากนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 20
- 30ปีต้นๆ โดยเปิดโอกาสให้แสดงความสามารถและให้มีตำแหน่งในระดับผู้บริหารเพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่าง
ๆ เหมือนเช่นในอดีตที่ตนให้โอกาสแก่คนรุ่นใหม่ในขณะนั้นซึ่งปัจจุบันได้เติบโตเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีความสามารถสูงและมีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในปัจจุบัน
เนื่องจากคนรุ่นใหม่จะมีพลังและมีความคิดก้าวหน้า ในขณะที่คนรุ่นเก่าจะมีประสบการณ์
ซึ่งเมื่อผนึกกำลังเข้าด้วยกันจะทำให้ความสามารถขับเคลื่อนไปยังเป้าหมายที่กำหนดไว้