บลจ.ไทยพาณิชย์ประกาศบุกตลาดกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) งัดกลยุทธ์ใหม่ ดึงกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในฐานการเสียภาษี 10-20% เข้าพอร์ต เหตุลูกค้ากลุ่มที่มีฐานการเสียภาษี 30-37% มีการลงทุนอยู่แล้วในหลายบลจ. ไม่จำเป็นต้องไปแย่งใคร พร้อมเดินหน้าส่งเจ้าหน้าที่บุกให้ความรู้ถึงที่ ควบคู่สาขาธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 700 สาขาทั่วประเทศช่วยหนุน ตั้งเป้า NAV ขยับแตะ 8,000 ล้านบาท จาก 4,500 ล้านบาท ในปัจจุบัน
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะเน้นการทำตลาดสำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มากขึ้น โดยกลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในฐานการเสียภาษี 10-20% เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มีอยู่เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่ยังไม่มีการลงทุนมากนัก โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุน LTF
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการทำตลาดกองทุน LTF ของบริษัทจัดการกองทุนส่วนใหญ่ จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในฐานการเสียภาษี 30-37% เป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิทางภาษีอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม การที่ลูกค้ากลุ่มนี้มีการลงทุนค่อนข้างมากอยู่แล้ว และส่วนหนึ่งก็ลงทุนเต็มวงเงินที่ได้รับการลดหย่อนภาษี จึงทำให้การขยายฐานลูกค้าเหล่านี้เป็นไปได้ยาก อีกทั้งนักลงทุนส่วนใหญ่ก็เป็นฐานเดิมที่ลงทุนผ่านบริษัทจัดการกองทุนหลายแห่ง และไม่ได้มีการลงทุนผ่านกองทุน LTF เพียงกองเดียวเท่านั้น
"นักลงทุนปัจจุบันเป็นฐานลูกค้าเดิมที่มีการลงทุนผ่านบริษัทจัดการกองทุนหลายแห่งอยู่แล้ว เรามาหาคนใหม่ๆ ที่ยังไม่มีการลงทุนดีกว่า ซึ่งการที่กลุ่มคนเหล่านี้ยังไม่เข้าใจการลงทุนมากนัก เราก็ต้องลงไปคุยกับเขา" นายอดิศรกล่าว
สำหรับกลยุทธ์ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในฐานการเสียภาษี 10-20% นั้น มายอดิศรกล่าวว่า จะต้องลงไปให้ความรู้และพูดคุยกับลูกค้ากลุ่มนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนผ่านกองทุน LTF มากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งยังไม่รู้จักกองทุน LTF เลยก็ว่าได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากสำหรับการทำการตลาดในครั้งนี้ โดยกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในฐานการเสียภาษี 10-20% ที่บริษัทจะเข้าไป เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทจะใช้เครือข่ายสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีอยู่กว่า 700 สาขา เป็นช่องทางหนึ่งในการให้ความรู้แก่กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ ซึ่งจำนวนกว่า 700 สาขานั้น ก็มีเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนที่ได้รับอนุญาตประจำอยู่ทุกสาขาด้วย โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะสามารถให้ข้อมูลการลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทต่างๆ รวมถึงกองทุน LTF แก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึงทั่วประเทศ
"ความยากในการทำตลาดตอนนี้ คือคนกลุ่มนี้อาจจะไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาในการอธิบายให้นักลงทุนเหล่านี้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน ซึ่งนอกจากเราจะเข้าไปคุยกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรงแล้ว เรายังจะใช้เครือข่ายธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเข้าถึงและสร้างความเข้าใจให้แก่กลุ่มเป้าหมายด้วย" นายอดิศรกล่าว
กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์กล่าวว่า การเข้ามาทำการตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประโยชน์ให้กับผู้ลงทุน และถือเป็นหน้าที่ของบริษัทจัดการกองทุนส่วนหนึ่งที่ทำแล้วสังคมได้ประโยชน์กลับไป และเชื่อว่าถ้าเรามีความมั่นใจว่าพัฒนาการลงทุนของประเทศจะสามารถเติบโตและขยายตัวต่อไปได้อีก คนกลุ่มนี้ก็จะเติบโตต่อไปในภายภาคหน้าควบคู่กันไปเช่นกัน
ทั้งนี้ จากแผนการตลาดดังกล่าว บริษัทตั้งเป้ามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) สำหรับกองทุน LTF เป็น 8,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่มีอยู่ประมาณ 4,500 ล้านบาทในปัจจุบัน โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา กองทุน LTF มีเงินลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่มประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากเป็นไปตามเป้า ก็จะทำให้กองทุน LTF ของบริษัทขยายตัวได้ 100% เท่ากับปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของกองทุน LTF ทั้ง 3 กองทุน ซึ่งประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (SCBLT1) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส (SCBLT2) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ (SCBLT3) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงกว่า 20 เดือน ที่จัดตั้งกองทุนมาประมาณ 10%
สำหรับแผนการดำเนินงานทั้งปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารเป็น 1.4 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารรวม 1.3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม เดิมเป้าหมายทั้งปีนี้ของบริษัทอยู่ที่ 1.25 แสนล้านบาท แต่หลังจากผลการดำเนินงานทะลุเป้า บริษัทจึงได้ปรับเป้าใหม่ดังกล่าว โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมีแผนจะออกกองทุนตราสารหนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นก็จะมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1 กองทุน และเน้นการทำตลาดกองทุน LTF ด้วย ซึ่งหากเป็นไปตามแผนที่บริษัทวางไว้ ทั้งปีนี้บริษัทจะมีอัตราการขยายตัวประมาณ 30%
ทั้งนี้ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่เพิ่มขึ้นมา ส่วนใหญ่มาจากกองทุนตราสารหนี้เป็นหลัก โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเงินลงทุนใหม่จากตราสารหนี้เข้ามาประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท โดยมีบางส่วนที่ครบกำหนดอายุกองทุนไปด้วย ซึ่งทั้งปีนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถระดมทุนจากกองทุนทุกประเภทได้ทั้งหมดประมาณ 20,000 ล้านบาท
|