จูนมือถือ ยุทธการปล้นไฮเทค ระเบิดเวลาลูกใหม่ที่สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล
วันดีคืนดีผู้ใช้ต้องเจอบิลเรียกเก็บเงินหฤโหดทั้ง ๆ ที่ไม่ได้โทร หรือแม้กระทั่งต้องเจอความเสี่ยง
ชนิดเดินไปห้างสรรพิสินค้าก็ยังไม่ได้ เหตุใด เอไอเอส-แทค เพิ่มตื่นแก้ปัญหา
ต้นตอของปัญหามาจากไหน จะกลางเป็นปัญหาเรื้อรังจนเกินเยียวยา หรือไม่ เป็นเรื่องต้องติดตาม
จู่ ๆ สมชาย พนักงานของธนาคารแห่งหนึ่ง ก็ได้รับบิลเรียกชำระเงินโทรศัพท์มือถือที่เขาใช้เฉพาะติดต่อธุระปะปัง
หรือโทรฯหาเพื่อฝูงเป็นครั้งคราว เป็นเงินถึง 1 แสนกว่าบาท ซึ่งล้วนแต่เป็นค่าโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ
มีทั้งอินเดีย ไนจีเรีย บังกลาเทศ ทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เคยแม้แต่คิดที่จะโทรฯไป
เช่นเดียวกับพจนีย์ ด้วยอาชีพอาจารย์ เธอซื้อโทรศัพท์มือถือไว้ติดต่อกับลูก
ๆ และสามีเวลาที่เธอติดธุระซึ่งค่าโทรฯ ไม่เคยเกินพันบาท แต่เมื่อเดือนที่แล้ว
เธอกลับต้องเจอบิลเรียกเก็บค่าโทรศัพท์มือถือที่แพงหฤโหดถึง 5 แสนบาท ล้วนแต่เป็นโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศ
เธอจำได้ว่าไม่เคยให้ใครหยิบยืมใช้โทรศัพท์มือถือ เว้นแต่เมื่อไม่นานนี้เธอและครอบครัวใช้เวลาในช่วงวันหยุดไปที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง
และเพียงแต่เดินไปสอบถามราคาแบตเตอรี่ก้อนใหม่ ที่เธอเห็นว่าถูกกว่าที่เคยซื้อจากศูนย์บริการเกือบเท่าตัวเท่านั้น
เช่นเดียวกับสมชายที่ให้ร้านค้าบนห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ซ่อมแซมโทรศัพท์มือถือ
เพราะมีราคาถูกกว่าเดิมเท่าตัว เมื่อเทียบซ่อมที่ศูนย์บริการ
แต่ทั้งสมชาย และพจนีย์ หรือใครอีกหลายคนที่แสวงหาของดีราคาถูกทั้งที่รู้ตัว
และไม่รู้ตัวว่า กำลังเดินเข้าไปสู่ปัญหาการถูกลักลอบจูนมือถือ ที่ทำให้ทั้งเขา
และเธอต้องเจอบิลเรียกเก็บเงินหฤโหด
ที่จริงแล้ว ปัญหาการลักลอบจูนมือถือไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
แต่มีมานานแล้วตั้งแต่ 3-4 ปี ที่แล้วในช่วงที่เมืองไทยใช้ระบบอนาล็อก เพียงแต่ในช่วงแรก
ๆ ปัญหาการจูนยังจำกัดอยู่ในแวดวงของผู้ใช้ ยังไม่ได้ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังใหญ่โตเช่นในเวลานี้
จุดแรกเริ่มนั้นมาจากตัวผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ ต้องการเปลี่ยนจากเครื่องเก่าเป็นเครื่องใหม่
ที่ซื้อมาจากต่างประเทศแต่ใช้เลขหมายเดิม แต่ผู้ให้บริการ คือ แอดวานซ์ อินโฟร์
เซอร์วิส หรือเอไอเอส และโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นไม่ทำให้เพราะทั้งสองรายนี้ก็นำเข้าโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว
จึงนำไปให้ร้านค้าโทรศัพท์มือถือตามห้างสรรพสินค้าจูนเบอร์จากเครื่องเก่ามาใส่เครื่องใหม่
ลูกค้าอีกประเภท คือ ต้องการโทรศัพท์มือถือไว้ใช้งานพร้อมกัน แต่ต้องการประหยัดค่าใช้บริการรายเดือนซึ่งตกเดือนละ
500 บาทต่อเดือน หากซื้อมาใช้ 2 เครื่องก็ต้องเสียเดือนละ 1,000 บาท ก็หันไปใช้วิธีซื้อเครื่องถูกกฎหมาย
1 เครื่อง และไปซื้อจากต่างประเทศ หรือซื้อจากร้านค้าตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งร้านค้าเหล่านี้จะมีบริการจูนเลขหมายใส่เครื่องใหม่และใช้เบอร์เดียวกันเหมือนกับการใช้โทรศัพท์พ่วง
การจูนเลขหมายและใช้พร้อมกันสองเครื่องได้รับความนิยมจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก
เพราะถือว่าเป็นการประหยัดค่าใช้บริการรายเดือน และราคาเครื่องก็ถูกกว่ามากซึ่งส่วนใหญ่จะจูนใช้งานภายในครอบครัว
สำหรับแหล่งรับจูนมือถือนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าย่อยที่จำหน่ายโทรศัพท์มือถือ
ตามห้างสรรพสินค้า แต่แหล่งใหญ่ที่สุด และทำกันยาวนานเป็นล่ำเป็นสันคือห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง
บรรดาร้านค้าเหล่าน ี้ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าย่อยที่เช่าพื้นที่ และตู้หน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือหลายยี่ห้อ
แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การขายอะไหล่ และรับซ่อมโทรศัพท์มือถือ สนนราคาสินค้า
และค่าบริการของร้านค้าเหล่านี้จะถูกกว่าซื้อจากตัวแทนจำหน่ายค่อนข้างมาก
เนื่องจากมีสินค้าให้เลือกหลายประเภท ทั้งหนีภาษีและผลิตขึ้นในประเทศไทย
จึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้นิยมของถูกค่อนข้างมาก
ส่วนการรับจ้างจูนเลขหมายของผู้ค้าเหล่านี้มีหลายลักษณะ คือ ให้ลูกค้าเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่ามาแลกเครื่องใหม่ที่จำหน่ายในร้าน
ซึ่งจะมีทั้งเครื่องที่นำเข้าอย่างถูกกฎหมายเครื่องที่รับมาจากตัวแทนจำหน่ายและเครื่องที่หนีภาษี
ซึ่งมักจะแอบขายให้กับลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตาโดยผู้ค้าจะจูนเบอร์ให้ตรงกับเครื่องเก่าเป็นบริการแถม
หากลูกค้าหาเครื่องใหม่มาเอง ผู้ค้าจะรับจูนให้แต่จะต้องมีเครื่องเก่า
และเบอร์ที่ถูกต้องมาด้วย ซึ่งจะคิดค่าจูนในช่วงแรกประมาณ 500-2,000 บาท
และใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น
ในช่วงที่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือยังจัดอยู่ในช่วง "บูม" ราคาสินค้ายังไม่ได้ลดฮวบฮาบเช่นในปัจจุบัน
กิจการของบรรดาร้านค้าบนห้างสรรพสินค้าก็เฟื่องฟูตามไปด้วย เพราะในช่วงนั้นการแข่งขันยังไม่มากนัก
จนกระทั่งเมื่อปีสองปีมานี้ การแข่งขันดุเดือดขึ้น ราคาโทรศัพท์มือถือลดลงมาฮวบฮาบ
บรรดาผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ หันมาใช้กลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาด
โดยเฉพาะระบบเงินผ่อนที่เข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าในระดับล่าง
ขณะเดียวกันผู้ให้บริการ คือ เอ.ไอ.เอส และแทค ซึ่งทำธุรกิจแบบครบวงจรมีธุรกิจนำเข้าโทรศัพท์มือถือ
ก็หันมาขยายร้านค้าปลีกที่อยู่ในรูปของร้านแฟรนไชส์ไปทั่วทุกหัวระแหง เช่นเดียวกับบรรดาผู้ค้ารายใหญ่
ๆ ก็เปิดร้านแฟรนไชส์ขายโทรศัพท์มือถือกันเป็นว่าเล่น ทำเอาร้านค้าปลีกบนห้างสรรพสินค้าเหล่านี้ย่ำแย่ไปตาม
ๆ กัน
เพื่อความอยู่รอด บรรดาร้านค้า บนห้างสรรพสินค้า จึงต้องหันไปหาวิธี "นอกระบบ"
ด้วยการเน้น ขายเครื่องผิดกฎหมายมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนของโทรศัพท์มือถือ
ที่ลักลอบซื้อมาจากต่างประเทศ จะถูกมาก ราคาเพียงแค่ 3,000-4,000 บาทเท่านั้นในขณะที่เครื่องถูกกฎหมายที่ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายจะอยู่ในราวเกือบ
20,000 บาท
เมื่อตัวเลขส่วนต่างของผลกำไรที่ได้รับแตกต่างกันเช่นนี้แน่นอนว่าผู้ค้าเหล่านี้ต้องเลือกหนทางที่ทำกำไรให้มากกว่า
ทางด้านของผู้ใช้บริการเป็นเรื่องปรกติที่ย่อมต้องการสินค้าและบริการราคาถูกกว่าที่มีอยู่เดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินค้าและบริการที่มีอยู่เดิมมีคุณภาพไม่เหมาะสมกับราคา
แหล่งข่าวในวงการโทรศัพท์มือถือ กล่าวว่า สินค้าหนีภาษีเหล่านี้ทะลักมาจากฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากในปี 1997 ฮ่องกงจะยกเลิกการใช้ระบบอนาล็อก และเปลี่ยนไปใช้ระบบดิจิตอลทั้งหมด
ซึ่งปัญหาการจูนมือถือในเวลาน ี้เกิดขึ้นกับระบบอนาล็อก จึงทำให้บรรดาผู้ขายโทรศัพท์ระบบอนาล็อกในฮ่องกงต้องเร่งระบายสินค้าออกให้เร็วที่สุด
ผู้ค้ารายย่อยของไทยจึงไปขนซื้อมาจำหน่าย
ผู้ซื้อรายหนึ่งเล่าว่า เขาสามารถหาซื้อเครื่องโทรศัพท์มือถือบนถนนนาธานย่านชอปปิ้งของฮ่องกงได้ในราคาไม่กี่พันบาทมีให้เลือกหลายรุ่นหลายยี่ห้อ
จึงเป็นที่นิยมของบรรดานักชอปปิ้งของไทยทั้งหลายที่จะต้องมีติดไม้ติดมือเข้ามากันคนละเครื่องสองเครื่อง
และนำมาให้ร้านค้าบนห้างสรรพสินค้าจูนให้
เช่นเดียวกัน มีร้านค้า "หิ้ว" โทรศัพท์ มือถือเถื่อนจากฮ่องกงเข้ามาเป็นจำนวนมาก
ซึ่งธุรกิจค้ามือถือเถื่อนเฟื่องฟูเพียงใด ดูได้จากมีข่าวคราวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม
เมื่อกรมศุลกากรจับกุมโทรศัพท์มือถือเถื่อนที่หิ้วมาจากฮ่องกงจำนวน 300 เครื่องไปเมื่อเร็ว
ๆ นี้ซึ่งว่ากันว่าเพราะเกิดความผิดพลาดบางประการ จึงทำให้การลักลอบครั้งนี้ไม่เป็นไปตามแผนจึงต้องถูกจับกุม
ได้ต้องพูดถึงการขนข้ามชาติในครั้งก่อนหรือหลังว่าจะมีมากน้อยเพียงใด
เมื่อเครื่องเถื่อนราคาถูกทะลักเข้ามามากขึ้น บรรดาผู้ค้าต้องเร่งทยอยออกสู่ตลาดให้มากที่สุดเช่นกันเพื่อสร้างรายได้
แต่การมีเครื่องแต่ไม่มีเลขหมายก็ไม่มีประโยชน์เพราะใช้งานไม่ได้
ดังนั้นการจูนเลขหมายในระยะหลัง จึงไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่ต้องมีเครื่องเก่าและเลขหมายที่ถูกต้องเท่านั้น
แต่เป็นใครก็ได้ที่ต้องการจูนมือถือ ยิ่งไปกว่านั้นร้านค้าก็เริ่มหันมาขายเครื่องเถื่อนพร้อมแถมเลขหมายให้เสร็จสรรพเพื่อต้องการขายสินค้าให้เร็วที่สุด
จึงกลายเป็นที่นิยมของผู้นิยมของฟรีราคาถูกไป และบานปลายออกไปอย่างคาดไม่ถึง
แต่คำถามคือ ผู้ค้าเอาเลขหมายมาจากไหน หากไม่ได้จากการขโมยมา
เมื่อโทรศัพท์มือถือจะใช้งานได้ต้องมีเลขหมาย ร้านค้าเหล่านี้จึงต้องเปลี่ยนสถานภาพจากการเป็น
"ผู้รับจูนมือถือ" เป็น "ผู้ลักลอบจูนมือถือ" คือแทนที่จะรับจูนมือถือให้กับลูกค้าเช่นเคยก็แอบเอาข้อมูลคือรหัสประจำเครื่อง
หรือ (ESN) หรือพาสเวิร์ดของลูกค้าและนำไปจูนใส่เครื่องมือถือเถื่อนที่นำเข้ามาเอง
เพื่อนำไปขายต่อให้กับลูกค้ารายอื่นอีกครั้ง ทำกำไรเข้ากระเป๋าสบายไปซึ่งลูกค้าที่ซื้อเครื่องเถื่อนเหล่านี้จะได้ทั้งเครื่องราคาถูกแถมได้โทรฟรีอีกต่างหาก
เพราะเลขหมายเหล่านี้เป็น เลขหมายที่ถูกลับปลอบมาใช้โดยที่เจ้าตัวไม่รู้
ลูกค้าที่นิยมใช้ของฟรีราคาถูกเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศที่อยู่เมืองไทยเป็นครั้งคราวและไกด์ทัวร์ที่หารายได้
ด้วยการซื้อไปให้ลูกทัวร์ใช้โทรไปต่างประเทศโดยคิดค่าโทรราคาถูกกว่าปกติเรียกว่าทำเงินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
แหล่งข่าวจากกสท.เล่าว่าเท่าที่สืบพบ ผู้แอบลักลอบใช้มือถือเถื่อนเหล่านี้จะเป็นแก๊งค์มิจฉาชีพข้ามชาติปะปนอยู่ด้วย
จะเห็นได้จากการจับกุมมักเป็นชาวต่างประเทศที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย มีทั้งชาวไนจีเรีย
ปากีสถาน
การลักลอบจูนแพร่หลายไปจนขนาดที่ว่า ผู้ค้ามือถือเถื่อนบางรายถึงกับมีเลขหมายพร้อมไว้ให้ลูกค้าสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเนื่องจากในระยหลังโอปเรเตอร์โทรศัพท์มือถือ
จะมีระบบตรวจจับหากพบว่ามีการใช้งานผิดปรกติจะทำากรปิดเลขหมายนั้นทันที
ในช่วงหลัง ๆ เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น และธุรกิจค้ามือถือเถื่อน พร้อมเลขหมายเฟื่องฟูขึ้น
บรรดาร้านค้าเหล่านี้แทนที่จะรอขโมย รหัสข้อมูลจากเครื่องลูกค้าที่มาซ่อม
หรือมาใช้บริการจูนเลขหมายเดียว ใช้สองเครื่อง ก็เปลี่ยนไปหาวิธีใหม่ ๆ ด้วยการนำอุปกรณ์ดูดคลื่นมาใช้
เครื่องชนิดนี้จะสแกนหาคลื่น โทรศัพท์มือถือที่เปิดอยู่ในรัศมี 5 เมตร และนำรหัสข้อมูลที่อยู่ในเครื่องมาถอดรหัสด้วยเครื่องอ่านข้อมูล
และนำมาจูนใส่เครื่องใหม่เรียกว่าแค่เดินถือโทรศัพท์มือถือที่เปิดเครื่องเอาไว้เข้าไปในรัศมีก็มีสิทธิถูกจูนได้
อุปกรณ์ในการจูนเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะมีการลักลอบนำเข้ามาจากไต้หวัน อุปกรณ์เหล่านี้จะมีสนนราคาเพียง
50,000 บาท
ปัญหาของการจูนมือถือในเวลานี้เกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือระบบอนาล็อกเนื่องจากระบบนี้เมื่อเปิดเครื่อง
และโทรออกหรือมีคนโทรเข้ามาเครื่องจะส่งเลขหมายและรหัสประจำเครื่องไปที่สถานีฐานจึงทำให้สามารถสแกนหาคลื่นได้
สำหรับระบบดิจิตอล คือ จีเอสเอ็ม 900 และพีซีเอ็น 1800 ยังไม่พบว่ามีการจูนเกิดขึ้น
เนื่องจากมีระบบป้องกันหลายชั้นทั้งจากเครือข่ายเองและจากตัวเครื่องมือถือ
ซึ่งจะมีซิมการ์ดที่บรรจุรหัสส่วนตัวเอาไว้แต่ยังไม่มีใครออกมายืนยันว่า
ระบบดิจิตอลยังไม่มีการจูนได้ เพียงแต่เวลานี้อาจจะยังยากอยู่และต้องใช้เงินลุงทนสูงเท่านั้น
ช่วงแรกของการจูนมือถือ จะเป็นระบบแอมป็ 800 เป็นส่วนใหญ่ เพราะจูนได้ง่ายกว่าระบบเซลลูลาร์
900 ซึ่งจะมีระบบการถอดและเข้ารหัสยากกว่าระบบแอมป์ 800
แต่มาในระยหลังปรากฏว่าระบบเซลลูลาร์ 900 กลับเจอปัญหาถูกจูนมากขึ้นจนกลายเป็นข่าวคราวเกรียวกราวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อผู้ใช้โทรศัพท์มือถือระบบเซลลูลาร์
900 ได้รับบิลค่าโทรศัพท์ทางไกลต่างประเทศหฤโหด
มีการยืนยันจากผู้ค้าโทรศัพท์มือถือว่าสาเหตุมาจากพนักงานของบริษัทเอไอเอสได้ขดมยฐานข้อมูลสำคัญของลูกค้าซึ่งบรรจุรหัส
หรือพาสเวิร์ดประจำเครื่องของลูกค้าถึง 1 แสนราย ก็อบปี้ใส่แผ่นดิสก์ออกมาขาย
ให้กับร้านค้าที่ลักลอบจูนมือถือ ซึ่งร้านค้าเหล่านี้ไปจูนใส่เครื่องใหม่ก็ใช้งานได้ทันที
โดยไม่ต้องใช้วิธีดูดสัญญาณเช่นเดียวกับระบบแอมป์ 800 ด้วยเหตุนี้ปัญหาการจูนมือถือลุกลามมากขึ้น
"จริง ๆ แล้วข้อมูลในแผ่นดิสก์ถูกลักลอบออกมาเป็นปีแล้ว และนำไปขายต่อไปตามศูนย์การค้าต่าง
ๆ แห่งละพันสองพันบ้างจนกระจายไปทั่ว จนกลายเป็นปัญหาลุกลามไปทั่ว"
แหล่งข่าวในวงการโทรศัพท์มือถือเล่า
เมื่อเป็นเช่นนี้ เอไอเอส และแทค จึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เมื่อเจอการกดดันจากลูกค้าที่เจอบิลเถื่อนที่กลายเป็นเรื่องใหญ่โตบนหน้าหนังสือพิมพ์
สิ่งที่ปรากฏคือ การกวาดล้างครั้งใหญ่ของกรมตำรวจ อันเกิดมาจากการผลักดันของเอไอเอสและแทค
ซึ่ง แหล่งข่าวในวงการกล่าว่า แทคและเอไอเอสต้องร่วมกันลงขันกวาดล้างร้านค้าที่รับจูนมือถือและค้ามือถือเถื่อนจำนวน
600 แห่งทั่วประเทศ เพราะเวลานี้ปัญหาการจูนมือถือได้กระจายออกไปถึงต่างจังหวัดแล้วในช่วงที่ผ่านมาจึงมีการจับกุมร้านค้าบนห้างสรรพสินค้ามาบุญคอรง
และห้างสรรพสินค้าบริเวณรอบ ๆ นอก เช่น ซีคอนสแควร์ เดอะมอลล์ท่าพระ เป็นระลอกใหญ่
แม้สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการส่วนแผนงานการตลาดของเอไอเอส
จะแบ่งรับแบ่งสู้เมื่อถูกถามถึงกรณีที่พนักงานเอไอเอสลักลอบนำรหัสลูกค้ามาขายให้ผู้ค้ามือถือเถื่อน
บอกแต่เพียงว่าอาจเป็นได้แต่ไม่ขอยืนยันว่าจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เอไอเอสก็ได้ลงมือแก้ไขปัญหา ด้วยการลงทุน 200 ล้านบาท ติดตั้งระบบ
SIS (SUBSCRIBER IDENTITY SECURITY) ซึ่งเป็นระบบป้องกันการจูนภายในประเทศ
โดยอาศัยหลักการนำรัสมาเปรียบเทียบระหว่างรหัสประจำเครื่องและรหัสประจำฐานข้อมูลว่าตรงกันหรือไม่หากมีผู้ลักลอบนำเครื่องของลูกค้าของเซลลูลาร์
900 ไปใช้ เครื่องจะทำการปิดเลขหมายมันที
นอกจากนี้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน เครื่องในระบบเซลลูลาร์ 900 ที่จดทะเบียนใหม่ทุกเครื่องจะไม่สามารถโทรไปต่างประเทศได้
และในอีก 1 เดือนถัดไปลูกค้าในระบบเซลลูลาร์ 900 ทั้งหมดจะถูกล็อกไม่ให้โทรออกต่างประเทศ
เรียกว่า ระบบ BARRING ALL OUTGOING CALLS หากลูกค้ารายใดต้องการโทรฯ ไปต่างประเทศจะต้องติดต่อขอรหัสผ่าน
ซึ่งเป็นเลข 4 หลักเหมือนกับรหัสบัตรเอทีเอ็มเมื่อกดรหัสถูกต้องจึงสามารถติดต่อไปยังปลายทางได้
และจะถูกบันทึกไว้ เมื่อมีการเรียกครั้งต่อไปเครื่องจะต่อผ่านไปโดยไม่ต้องกดรหัสอีก
แต่หากกดรหัสผิดจะทำการตัดสายทันที ซึ่งรหัสนี้ผู้ใช้บริการสามารถกำหนดได้
และเปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ
ระบบป้องกันการโทรไปต่างประเทศนี้ผู้ให้บริการได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเพราะการจูนส่วนใหญ่จะโทรไปต่างประเทศดังนั้นทางด้านการสื่อสารแห่งประเทศไทย
(กสท.) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบแอมป์ 800 แบนด์เอ และรับผิดชอบเรื่องโทรศัพท์ระหว่างประเทศ
ได้นำระบบเซลลูลาร์ พินมาใช้ ซึ่งมีการทำงานในลักษณะเดียวกับระบบของเอไอเอส
เช่นเดียวกับบริษัทแทคจะมีการติดตั้งระบบประเภทเดียวกัน แต่ใช้ชื่อเรียกว่า
พินนัมเบอร์ ในต้นปีหน้า
สมยศ วรปรีชาพาณิชย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเวิลด์โฟน 800 กล่าวว่า ในช่วง
4-5 ปีมานี้แทคได้แก้ไขปัญหาเรื่องการจูนมือถือในระบบแอมป์ 800 มาตลอดเพียงแต่ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ออกไป
เพราะหากแพร่งพรายออกไปจะทำให้มิจฉาชีพหาวิธีใหม่ ๆ มาแก้ไขให้ลักลอบจูนได้อีก
ระบบป้องกันของแทคมีทั้งหมด 4-5 วิธี เริ่มตั้งแต่การจดทะเบียนออนไลน์
เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลรหัสลูกค้ารั่วไหล เพราะจะไม่มีเอกสาร และไม่สามารถเก็บข้อมูลใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ได้อีก
2 ปีถัดมาให้ลูกค้าระงับการใช้โทรทางไกลได้ฟรี
ระบบต่อมาคือ FORCE MONITRO SYSTEM ระบบการตรวจจับการลักลอบใช้เมื่อพบว่ามีความผิดปรกติจะระงับการใช้เลขหมายนั้นทันที
และให้ลูกค้าเปลี่ยนรหัสใหม่ ล่าสุด คือ ระบบเครดิตลิมิต คือให้ลูกค้าจำกัดวงเงินในการใช้แต่ละเดือนเช่นเดียวกับบัตรเครดิต
และในปีหน้าจะติดตั้งระบบพินนัมเบอร์
"คงมีคนสงสัยว่าเราลงทุนไปตั้งเยอะแต่ทำไมทุกวันนี้ยังมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่
ผมบอกได้เลยว่า เราป้องกันไป พวกมิจฉาชีพเขาก็พัฒนาตาม เขาไม่หยุด"
สมยศเล่า
ด้วยระบบต่าง ๆ เหล่านี้ สมยศ เชื่อว่าจะทำให้การจูนลดน้อยลง จากเดิมที่เคยมีปัญหาอยู่ถึง
1% ปัจจุบันปัญหาลดลงเหลือยู่เพียง 0.5% เท่านั้น
"หากผู้ใช้ให้ความร่วมมือ คือ เมื่อไม่ใช่โทรศัพท์ทางไกลก็ควรจะปิดเสีย
ตั้งวงเงินจำกัดการโทรในแต่ละเดือน และไปซ่อมร้านที่เป็นตัวแทนจำหน่ายโดยตรงปัญหาการจูนจะหมดลงไป"
ทางด้านกสท. ซึ่งต้องสูญเสียเงินไป 10 กว่าล้านบาท อันเกิดจากปัญหาการจูนโทรศัพท์มือถือที่มักจะใช้โทรไปต่างประเทศโดยที่กสท.จะไม่สามารถตามจับไปถึงต้นตอของผู้ลักลอบได้
เนื่องจากมิจฉาชีพเหล่านี้จะเป็นชาวต่างประเทศที่ลักลอบเข้าเมือง หรือ ทำผิดกฎหมาย
"เมื่อมีปัญหาเรื่องการจูนเกิดขึ้นทางกสท.จะต้องตรวจสอบว่า ใครเป็นคนโทรฯเราจะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับผู้กระทำผิดเหล่านั้น
ซึ่งก็ทำได้ยากเพราะจะอยู่ในต่างประเทศ ส่วนผู้ใช้หากไม่ได้ทำผิดเราก้ไม่ได้ให้เขารับภาระ"
ประสาทพร สุรสิทธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการโทรคมนาคมทางเสียง กสท. ชี้แจง
ทว่า มาตรการทางเทคนิคก็อาจไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาที่ลุกลามใหญ่โตขึ้นและผู้เชี่ยวชาญต่างก็ออกมายืนยันว่าไม่มีอะไรที่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะถอดรหัสได้
จึงมีการผลักดันให้ใช้มาตรการทางกฎหมายควบคู่กันด้วย
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มีการผลักดันให้มีการ แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการลักลอบจูนมือถือ
โดยให้เพิ่มโทษกับผู้ลักลอบจูนโทรศัพท์มือถือ จากเดิมปรับ 10,000 บาท จำคุก
5 ปี เพิ่มเป็น 100,000 บาท จำคุก 5 ปี
นอกจากนี้ยังเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายวิทยุคมนาคม ของกรมไปรษณีย์โทรเลข
เพื่อให้มีการระบุคำนิยามเกี่ยวกับอุปกรณ์วิทยุคมนาคมที่ผิดกฎหมายให้มีความชัดเจนมากขึ้น
เช่น เครื่องมือที่ใช้จูนมือถือ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้ทำงานสะดวกยิ่งขึ้น
และควรระบุให้การลักลอบจูนมือถือเป็นความผิดในแง่การลักทรัพย์ด้วย
พร้อมกับการแบ่งบทลงโทษของผู้จูนมือถือไว้หลายประเภท กรณีที่จูนกันเองในครอบครัวจะมีโทษไม่หนัก
แต่หากจูนเพื่อกิจการหรือโทรออกต่างประเทศจะต้องได้รับโทษเต็มที่
แม้ว่าการกวาดล้างร้านค้าจูนมือถือมีขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยมีห้างสรรพสินค้ามาบุญครองเป็นเป้าหมายใหญ่
แต่จากการสำรวจของ "ผู้จัดการรายเดือน" พบว่า ร้านค้าโทรศัพท์มือถือเหล่านี้
ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40 แห่ง โดยเฉพาะบริเวณชั้น 4 ที่เป็นพื้นที่ใหญ่ ยังคงเปิดให้บริการตามปรกติ
โดยเฉพาะร้านค้าที่ถูกจับกุมไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ กลับมาให้บริการแล้ว แต่บางร้านก็เปลี่ยนชื่อร้านใหม่มีการยืนยันว่ายังรับจูนและขายเครื่องหนีภาษีเช่นเดิม
เพียงแต่ระมัดระวังตัวมากขึ้นจะขายให้กับคนที่รู้จักหรือคุ้นหน้าเท่านั้น
เพราะอุปกรณ์ทั้งหมดที่ถูกจับได้ไม่ได้ถูกยึดไป
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการนครบาลสืบสวนใต้ กล่าวว่า การปราบปรามไม่ได้ทำได้โดยง่าย
เนื่องจากเป็นเรื่องเทคนิค และร้านค้าเหล่านี้ก็มีวิธีหลบเลี่ยงมากขึ้น การค้นหาของกลางก็ทำได้ยากลำบาก
ร้านค้าบนห้างสรรพสินค้ามาบุญครองจะมีอยู่มากมาย แต่ร้านใหญ่ที่มีอุปกรณ์ในการจูนครบถ้วนจะมีอยู่
4 ร้าน ตั้งอยู่บริเวณชั้น 4 มี 3 ร้าน และชั้น 6 อีก 1 ร้าน ร้านค้าย่อยที่เหลือจะรับจากลูกค้าและส่งไปให้ร้านใหญ่เหล่านี้ทำการจูนอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งจะคิดค่าบริการจากร้านค้าย่อยเหล่านี้เครื่องละ 300 บาท และร้านค้าย่อยเหล่านี้จะคิดค่าบริการจากลูกค้าอีกครั้งหนึ่งในราคา
500-1,000 บาท
"ร้านพวกนี้จะทำกันเป็นทีม และมีวิธีหลบเลี่ยง ซุกไว้ในถังขยะบ้าง
ตามร้านขายเสื้อผ้าบ้าง เขาจะทำกันเป็นทีมบางทีอุปกรณ์ที่จูนจะไม่ได้อยู่ที่ร้าน
แต่เขาจะมีบ้านพักอยู่ใกล้ ๆ กับห้าง พอมีลูกค้ามาให้จูนก็จะทำให้คนขับมอเตอร์ไซค์ขับไปจูน
เพียงแค่ 10 นาทีก็ได้แล้ว" เจ้าหน้าทีตำรวจเล่า
หากวิเคราะห์ให้ดีแล้ว ปัญหาการจูนมือถือไม่ได้เกิดขึ้น ซึ่งเอไอเอสและแทคก็รู้เรื่องดี
เพียงแต่ในช่วงแรกปัญหาเหล่านี้ไม่ได้กระทบมากนักเนื่องจากทั้งสองรายก็ผูกขาดธุรกิจค้ามือถือเป็นแบบเบ็ดเสร็จอยู่แล้วตั้งแต่ให้บริการ
นำเข้าเครื่องและขายเครื่องดังนั้นเงินที่สูญเสียไปจึงน้อยนิด เมื่อเทียบกับเม็ดเงินมหาศาลที่ได้จากธุรกิจทั้งระบบนี้
ซึ่งการแก้ไขอาจต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเริ่มลุกลามออกไปใหญ่โตจึงต้องออกมาวิ่งวุ่นแก้ปัญหากันเจ้าละหวั่น
ที่สำคัญมาตรการทั้งเทคนิค และกฎหมายเหล่านี้จะแก้ไขได้เพียงใด หากอัตราค่าบริการ
และราคาเครื่องยังแพงเกินความเป็นจริงเมื่อเทียบกับคุณภาพของการให้บริการ
แรงจูงใจที่จะหันมาพึ่งพาบริการนอกระบบก็ย่อมเกิดขึ้นอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง หากผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือไม่หันไปทบทวนตัวเองอาชญากรไฮเทคก็คงต้องเกิดขึ้นอีกและกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่ที่รอวันปะทุขึ้นอีกครั้ง