|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดแนวโน้มอุตสาหกรรมไทยซบเซาต่อเนื่อง ต้นปี 50 หนักสุดจีดีพีภาคอุตสาหกรรมไตรมาสแรกอาจโตแค่ 1.4% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี เหตุภาคการส่งออกอันเป็นแรงขับเคลื่อนหลักโดนกระทบจากหลายปัจจัยเสี่ยง รวมถึงอุปสงค์ภายในประเทศลดลงจากราคาน้ำมัน-ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่ภาคการลงทุนยังชะงักรับผลการเมืองไม่นิ่ง-งบฯล่าช้า แนะเอกชนเร่งปรับตัวรับความผันผวน-แสวงหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆที่ศักยภาพทดแทน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมโดยภาพรวมในช่วงครึ่งหลังปี 2549 ว่า ยังชะลอตัวต่อเนื่องจากในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจขยายตัวประมาณ 6.3% ชะลอตัวลงจาก 8.1%ในครึ่งปีแรก ส่งผลให้การเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในปี 2549 อยู่ที่ประมาณ 7.1% ชะลอลงจากที่ขยายตัว 9.1% ในปี 2548 อย่างไรก็ตาม ระดับการผลิตที่ยังคงเพิ่มขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นไปมีค่าเฉลี่ยที่ระดับ 74.5% ในปี 2549 จาก 72.1%ในปี 2548
ทั้งนี้ โดยภาพรวมแล้วคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของภาคอุตสาหกรรม ในช่วงครึ่งหลัง ปี 2549 อาจจะขยายตัวประมาณ 4.7% ชะลอลงจากที่คาดการณ์ว่าอาจขยายตัว 6.2% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของภาคอุตสาหกรรมของไทย ในปี 2549 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 2.72 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัว ณ ราคาคงที่ ประมาณ 5.4% เทียบกับที่มีมูลค่า 2.47 ล้านล้านบาทในปี 2548 และมีอัตราการขยายตัว ณ ราคาคงที่ ที่ 5.5%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดการชะลอตัวลงของอุตสาหกรรมไทยนั้น เนื่องมาจากภาวะอุตสาหกรรมในไตรมาสสองชะลอตัวลงตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของภาคการส่งออกอันเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยคาดว่าจีดีพีของภาคอุตสาหกรรมอาจมีอัตราการเติบโตชะลอลงในไตรมาสสองปี 2549 มาอยู่ที่ประมาณ 4.9% เทียบกับที่ขยายตัว 7.6% ในไตรมาสแรก
ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังแวดล้อมด้วยปัจจัยลบ โดยการใช้จ่ายของผู้บริโภค ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ตามระดับราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้น อาจจะกระทบต่อตลาดสินค้าที่พึ่งพาสินเชื่อเพื่อการบริโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ และที่อยู่อาศัย สำหรับในด้านการลงทุนของภาคธุรกิจ อาจจะยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง และการชะลอตัวของตลาดผู้บริโภค และในด้านการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ อาจได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของการผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 โดยผลคงจะเริ่มปรากฏในไตรมาสสุดท้าย ปี 2549 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ แต่โดยปกติ ในช่วงดังกล่าว ยังมีการใช้จ่ายในส่วนของงบเหลื่อมจ่ายของปีงบประมาณก่อนหน้าเข้ามา ผลกระทบจึงอาจยังไม่มากนัก แต่จะรุนแรงขึ้นในไตรมาสแรก ปี 2550
และภาคส่งออก อาจชะลอตัวลง ตามทิศทางเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อันเป็นผลตามมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และธนาคารกลางในแต่ละประเทศดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยตึงตัว ซึ่งสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจเริ่มเห็นได้ในสหรัฐและญี่ปุ่น ขณะที่จีนนั้นแม้ว่าในไตรมาสสองยังมีอัตราการขยายตัวที่เร่งขึ้น แต่มาตรการที่ทางการจีนได้ประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมการเติบโตอย่างร้อนแรงของการขยายสินเชื่อและการลงทุน ซึ่งความพยายามล่าสุด เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมานั้น น่าจะนำไปสู่การบริหารเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) สำหรับสหภาพยุโรปการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องคงจะมีผลชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ปัจจัยลบดังกล่าวยังคงส่งผลกดดันถึงปี 2550 โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในประเทศในปี 2550 มีแนวโน้มที่จะมีเสถียรภาพมากขึ้นกว่าในปี 2549 ซึ่งเป็นส่วนที่น่าจะสนับสนุนให้เกิดการฟื้นตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศที่สำคัญยังคงเป็นประเด็นทางการเมือง ขณะที่ผลกระทบของปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ต่อการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ จะมีผลให้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสองของปี 2550 ยังมีทิศทางชะลอตัว อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย น่าที่จะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 หลังจากที่รัฐบาลสามารถเริ่มผลักดันการใช้จ่ายงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และภาคเอกชนมีความเชื่อมั่นต่อการลงทุนดีขึ้น ด้านปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศยังคงขึ้นอยู่กับสถานการณ์ราคาน้ำมันของโลก และแนวโน้มการชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยลบต่างๆที่เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญในช่วงครึ่งปีแรกนั้น จะกดดันให้จีดีพีภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 อาจมีอัตราการขยายตัวต่ำเพียง 1.4% ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2545 ก่อนที่จะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสสอง และเริ่มมีอัตราการขยายตัวสูงในช่วงครึ่งหลังของปี ด้วยเหตุนี้ โดยภาพรวมทั้งปีของปี 2550 คาดว่า อัตราการเติบโตของของภาคอุตสาหกรรมอาจจะยังชะลอตัวลงมา มีอัตราการขยายตัวประมาณ 4.3% โดยมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 2.94 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 35% ของขนาดเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีของประเทศ
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ยังคงต้องพิจารณาถึงปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะอุตสาหกรรมในระยะข้างหน้าประกอบด้วย อาทิ ทิศทางของค่าเงินบาท ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออก ,ทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์, ข้อขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และภัยคุกคามจากการก่อการร้าย ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้กับราคาน้ำมัน, การแข่งขันที่จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเปิดเสรีภายใต้กรอบความตกลงที่ไทยดำเนินการในระดับทวิภาคีและพหุภาคี และมาตรการทางการค้า โดยประเด็นสำคัญที่ผู้ส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯกำลังกังวลอยู่ในขณะนี้คือการพิจารณาทบทวนการห้สิทธิจีเอสพีให้กับประเทศที่กำลังพัฒนา
ดังนั้น ท่ามกลางแนวโน้มปัจจัยแวดล้อมต่างๆที่ส่งผลกดดันต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยดังที่กล่าวมาแล้วนี้ จึงนับเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ผู้ประกอบการไทยต้องติดตามศึกษาข้อมูล เพื่อแสวงหาแนวทางในการปรับตัวรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงหรือความผันผวนต่างๆทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งปรับปรุงความสามารถในการแข่งขัน เพื่อให้สามารถรักษาสถานะในการแข่งขันในฐานตลาดเดิมเอาไว้ ขณะเดียวกันก็แสวงหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆที่มีศักยภาพต่อไปด้วย
|
|
|
|
|