Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2539
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตลาดนี้จะเป็นของแบงก์             
โดย สนิทวงศ์ เจริญรัตตะวงศ์
 

 
Charts & Figures

รายงานแสดงการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2539
ตารางเปรียบเทียบอัตราตอบแทนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กราฟแสดงอัตราผลตอบแทนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักทั้งระบบ


   
www resources

โฮมเพจ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

   
search resources

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
Funds




กระทรวงการคลังอนุมัติผู้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรายใหม่เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.39 ผลจากนโยบายเพิ่มเงินออมระยะยาว สถาบันการเงินประเภทต่าง ๆ 17 รายรับอานิสงส์กันไปถ้วนหน้าไฟแนนซ์เจ้าตลาดถึงกับออกปาก "เยอะไม่กลัว แต่กลัวแบงก์" สำหรับรายใหม่ทีมงานที่แข็งแกร่ง และแขนขาที่ว่าแน่ อาจจะแพ้ เพราะไม่มีผลงานมาพิสูจน์ให้มั่นใจ งานนี้คงต้องหวังพึ่งบริษัทในเครือกันไปก่อน เพราะเป็น 'สิบเบี้ยใกล้มือ' ส่วนที่เนื้อหอมสุดเห็นจะไม่พ้นรัฐวิสาหกิจ เพราะต้องเร่งจัดตั้งให้เสร็จก่อนสิ้นปีงบประมาณ' 40 ไฟแนนซ์จะยังอยู่ หรือแบงก์จะเข้าครองคงต้องจับตาดูว่าช่วงฤดูกาลนี้ใครจะได้รัฐวิสาหกิจไปบริหารกันเท่าไรและสิ้นปี'40 ผลการบริหารกองทุนแต่ละรายเป็นอย่างไร

จากประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2539 อนุญาตให้สถาบันการเงินอีก 17 รายได้เข้ามาทำธุรกิจบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PROVIDENT FUND) ทำให้ในปัจจุบันมีสถาบันการเงินไทยที่มีใบอนุญาตทำธุรกิจนี้อยู่ทั้งสิ้น 36 ราย

การเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินอื่นเขามาทำธุรกิจได้นอกเหนือจากไฟแนนซ์นั้น เป็นผลสืบเนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่อยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างวิกฤตจากผลงานของรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา

ปัญหาเงินเฟ้อ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการส่งออกลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่กล้าที่จะลงทุนในประเทศ เนื่องจากไม่มั่นใจในเสถียรภาพทางการเงิน และการเมืองของไทย ส่งผลให้สถานการณ์การเงินในประเทศมีความตึงตัว

เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว ภาครัฐ จึงต้องการเร่งระดมเงินออมในประเทศ เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เป็นการบรรเทาภาวะเงินตึงตัวดังกล่าว จึงผลักดันให้เกิดการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพขึ้น

ในปี' 38 ยอดคงค้างของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีอยู่ในระบบมีไม่ถึง 1.5% ของรายได้ประชาชาติซึ่งถือว่าน้อยมาก และผู้ที่เข้าร่วมกองทุนมีประมาณ 2% ของแรงงานทั้งหมด การเปิดโอกาสให้รายใหม่เข้ามามากนั้นย่อมเป็นผลดีต่อระบบโดยรวมเนื่องจากเป็นการกระตุ้นทั้งอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรายใหม่อย่างแบงก์ หรือประกันที่มีสาขาอยู่ตามจังหวัด ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจนี้ขยายไปยังต่างจังหวัดซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจนี้ขยายไปยังต่างจังหวัดได้เร็วยิ่งขึ้นแต่ในส่วนผู้จัดการกองทุนฯ รายเก่าที่ทำธุรกิจนี้อยู่ก่อนแล้วโดยเฉพาะรายใหญ่นั้นมองเหตุการณ์ครั้งนี้แล้วการปรับตัวต้องเกิดมีขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะไปในทิศทางใด รายใหม่ที่เข้ามาจะทำจริงสักกี่ราย จะสู้รายเก่าได้มากน้อยเพียงใด คงต้องอาศัยเวลาและรอดูผลการดำเนินงานเป็นเครื่องพิสูจน์

รายใหม่แบงก์คึกคักสุดเตรียมใช้สาขา-ให้บริการเสริม

รายใหม่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดหนีไม่พ้น 3 แบงก์ใหญ่อย่างธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย และธ.กรุงไทย โดยเฉพาะ ธ.กรุงเทพนั้น เริ่มเขย่าวงการตั้งแต่ได้ใบอนุญาตมาใหม่หมาด ๆ ประมาณเดือนกรกฎาคม ด้วยข่าวแผนการร่วมมือกับ เอ.ไอ.เอ. ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจประกันชีวิตที่ได้รับใบอนุญาตในงวดนี้ด้วยเหมือนกัน

ธ.กรุงเทพ ถือว่าเป็นรายใหม่รายแรกที่เริ่มออกตัวลุยธุรกิจนี้ก่อนใครเนื่องจากเตรียมความพร้อมทางด้านต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ทีมงานปัจจุบันมีประมาณ 10 คน นำโดย รัชนีพรรณ ยุกตะเสวี ภายใต้การดูแลโดยตรงจากดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สำหรับนโยบายบริหารจะแบ่งกองทุนเป็น 2 ประเภท คือ กองทุนใหญ่ตั้งแต่ 10 ล้านบาทจนถึง 1,000 ล้านบาท และกองทุนร่วม (POOL FUND) เป็นการรวมหลาย ๆ กองทุนที่มีขนาดเล็กเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์

ทั้งนี้ในการดำเนินงานนั้นดร.พิสิฐ ให้ความเห็นว่า "จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดนั้นคงต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของธนาคาร รวมทั้งสาขาและฝ่ายสินเชื่อทั้งในเขตนครหลวง และต่างจังหวัดอันถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำธนาคารไปสู่การเป็นธนาคารที่ให้บริการได้อย่างครบวงจร"

และดร.พิสิฐยังตอกย้ำท่าทีเดิมที่มุ่งจะทำธุรกิจนี้อย่างชัดเจนอีกว่า "แม้ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะไม่สร้างรายได้ให้กับธนาคารมากนัก แต่ธนาคารก็ยึดหลักทำธุรกิจให้ครบวงจรเพื่อบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึง"

นั่นหมายถึงว่า ธ.กรุงเทพ 'เอาแน่' กับธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเตรียมจะใช้แขนขนที่มีอยู่ทั่วประเทศให้เป็นรูปธรรมขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของ ธ.กรุงเทพ ซึ่งดร.พิสิฐย้ำอยู่ในขณะนี้ว่าต้องทำธุรกิจแบบครบวงจร ซึ่งในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไฟแนนซ์เจ้าตลาดเดิมกำลังกลัวและเตรียมรับมืออยู่เช่นกัน

ธ.กสิกรไทย นำทีมด้วยวาณิชธนากรมือฉมัง บุณทักษ์ หวังเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ รายเก่าอย่างภัทรธนกิจ และทิสโก้ถึงกับออกปากในทำนอง ที่ว่า 'ไปที่ไหนเจอที่นั่น' ด้วยชื่นชมถึงการมีทีมงานที่เข้มแข็ง และวิธีการนำเสนอข้อมูลต่อลูกค้าอย่างมืออาชีพ

บุญทักษ์มั่นใจว่าในปี' 39 ธ.กสิกรไทยจะสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาด ของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ประมาณ 8-10% ของวงเงินบริหารทั้งระบบประมาณ 7 หมื่นล้าน "นอกจากฐานลูกค้าเดิมแล้วลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเป็นรัฐวิสาหกิจ และบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสาขามาก เพราะธนาคารมีจุดเด่นที่มีสาขาทั่วประเทศ ส่วนกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กจะใช้วิธี POOL FUND" บุญทักษ์กล่าวถึงเป้าหมายของธนาคาร

ส่วนผลตอบแทนนั้น ทวิช ธนะชานันท์ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจกล่าว่า "ดอกเบี้ยผลตอบแทนลูกค้าต่อการเข้าร่วมในกองทุนที่มีธ.กสิกรไทยเป็นผู้จัดการ คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากบวก 1-2%"

ธ.กรุงไทย ที่หลายคนมองว่างานนี้คงได้เปรียบด้วยสายสัมพันธ์ทางธุรกิจจึงธ.กรุงไทย น่าจะได้กองทุนของรัฐวิสาหกิจไปบริหารค่อนข้างมาก ธีรพันธุ์ จิตตาลาน ผู้จัดการ สำนักบริการตลาดทุน ตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า "องค์กรรัฐวิสาหกิจตรงนี้ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 7 หมื่นล้าน ที่จัดตั้งแล้ว 26 แห่ง เป็นเงินประมาณ 3 หมื่นล้าน ยังไม่ได้จัดตั้งอีกประมาณ 30-40 แห่ง องค์กรใหญ่ ๆ ตั้งไปเกือบหมดแล้วที่ยังไม่ตั้งก็เช่น องค์การโทรศัพท์ฯ การประปาภูมิภาค การประปานครหลวงที่เหลือส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานย่อย ๆ เช่นองค์การทอผ้า องค์การสุรา องค์การสวนสัตว์ การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งพนักงานมีประมาณ 100-500 รายเท่านั้น"

แต่ธีรพันธุ์ยังคงยืนยันว่า ด้วยสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศประมาณ 500 สาขา และเตรียมจะเปิดเพิ่มเป็น 700 สาขาให้ครบทุกอำเภอซึ่งถือเป็นจุดแข็งของแบงก์รวมทั้งทีมงานกว่า 55 ชีวิตที่คลุกคลีกับงานนี้มาปีกว่าเชื่อมั่นว่าภายใน 3 ปี ธ.กรุงไทยจะมีกองทุนบริหารเป็นส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 15% ด้วยกลยุทธ์ที่เขาย้ำนักย้ำหนาคือการดำรงเงินกองทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ส่วนบริษัทประกันอย่างเอ.ไอ.เอ. โดยวิสิฐ ตันติสุนทร รองประธานอาวุโสและรองประธานภูมิภาคฝ่ายการลงทุน และมีหน้าที่ดูแลพอร์ตการลงทุนของบริษัทอยู่ด้วยนั้น ได้ออกมาประกาศว่าธุรกิจนี้น่าสนใจมากและคาดการณ์ว่า ภายใน 5 ปีเอ.ไอ.เอ. จะมีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจนี้ประมาณ 8-10% ของมูลค่าตลาดรวมที่น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 แสนล้านบาท จากการที่ฐานลูกค้าจำนวน 5 พันบริษัทที่มีอยู่ทั้งบริษัทไทย และบริษัทข้ามชาติ และในส่วนบริษัทเองก็มีหัวหน้าตัวแทนประมาณ 3 พันคนและตัวแทนรายย่อยอีก 3 หมื่นคนบริษัทจึงน่าจะมีรายได้จากธุรกิจนี้เช่นกัน

บ.ไทยประกันชีวิต หนึ่งในประกัน 3 รายที่เริ่มไปบ้างแล้วนั้น นำทีมโดยชลธิชาควรทรงธรรม ภายใต้การดูแลของ วรางค์ เสรฐภักดี ผู้จัดการสายงานและรอมากว่า 2 ปี นโยบาย ในช่วงแรกนี้วรางค์กล่าวว่า "จะมุ่งบริษัทในเครือต่อจากนั้นก็เป็นลูกค้าประกันชีวิตหมู่เพราะมีสมาชิกเป็นพันราย โดยจะเริ่มในกรุงเทพฯ และแถบปริมณฑล แล้วจึงไปต่างจังหวัดที่เรามีสำนักงานสาขาขนาดใหญ่อยู่ 63 แห่ง" ด้วยทีมงานที่มีอยู่ 4-5 คน คาด ว่าปี'40 น่าจะเพิ่มเป็น 7-8 คน และเธอจะใช้ทีมฝ่ายขายช่วยเจาะช่องทางเพื่อเข้าถึงตัวลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย วรางค์หวังว่าอีก 5 ปี น่าจะถึงจุดคุ้มทุนด้วยมูลค่ากองทุนภายใต้การบริหารประมาณ 400-500 ล้านบาท ส่วนระบบคอมพิวเตอร์ได้ที่ปรึกษา ซึ่งเคยร่วมงานที่บล.กองทุนรวมมาช่วยเขียนและประสานระบบตอนนี้สามารถใช้งานได้แล้ว

น่าสังเกตว่าทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทประกันที่ได้รับใบอนุญาตใหม่นี้ ต่างมั่นใจในฐานลูกค้าของตนโดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งไฟแนนซ์ทั้งหลายต้องยอมรับว่าตัวเองไปไม่ถึงตลาดส่วนนี้เท่าไรนัก ดังนั้นส่วนแบ่งตลาดที่ตั้งเป้ากันไว้นั้นมีความจริงได้ไม่ยากนักเพราะแขนขาในต่างจังหวัดคงช่วยได้เยอะ

รอบนี้ TRACKRECORD ยังเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อดูรายใหม่แต่ละรายแล้ว น่าจะเป็นที่หนักใจของผู้จัดการกองทุนรายเก่าอยู่มิใช่น้อยเพราะแต่ละรายมีความเป็นมืออาชีพการันตีความสามารถอยู่แล้วทั้งสิ้น

กระนั้นก็ตามรายเก่าเจ้าของส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่ง อย่างบงล.ทิสโก้ (TISCO) ก็ไม่ได้ประมาท แม้จะมีความกริ่งเกรงในด้านชื่อเสียงความสามารถของคู่แข่งโดยเฉพาะ 3 แบ่งก์ยักษ์ใหญ่ ด้วยสาขาของแบงก์ที่ระโยงระยางกระจายตัวไปทั่วประเทศ ซึ่งหมายถึง การรุกคืบสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้สะดวกสบายและรวดเร็วในพื้นที่ต่างจังหวัด และการมีสาขามากยังทำให้การบริการของแบงก์ย่อมมีประสิทธิภาพไปด้วย

"แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเสียเปรียบเสียทีเดียว เพราะมองว่าเจ้าเก่าหลายรายก็คงยังอยู่ได้ในตลาด อย่างทิสโก้เราได้เปรียบในแง่ที่เรามีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญในการบริหารมาเป็นเวลานาน เราบริหารมาก่อนที่ พ.ร.บ.ปี'30 จะออกรับรองรวมแล้วประมาณ 15 ปี และอีกประมาณหนึ่งเราผลงานอดีตเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเรามีความเชี่ยวชาญ" ภควิภา เจริญตรา ผู้จัดการฝ่ายและหัวหน้าการจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กล่าวอย่างมั่นใจถึงผลงานในอดีตของทิสโก้

เช่นเดียวกับ กุลนันท์ ซานไทโว ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารกองทุนแห่ง บงล. ภัทรธนกิจ (PHATRA) ที่เห็นด้วยว่าผลงานในอดีตยังเป็นสิ่งสำคัญ

"ยอมรับว่าการแข่งขันค่อนข้างจะรุนแรงในลักษณะบริการเสริมแบงก์ใหญ่สามารถให้ได้ ในรูปของ ATM บัตรเครดิต ซึ่งอาจยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า ซึ่งเป็นสิ่งที่มา SUBSIDIZE ราคา ส่วนค่าจัดการก็เป็นอีกเรื่อง มันเป็นกลยุทธ์ที่แบงก์ใหญ่จะเข้ามาเล่นตรงนี้ แต่รอบนี้เรายังไม่ค่อยกลัว เพราะ TRACK RECORD ยังเป็นเรื่องสำคัญมากในการที่จะเลือกผู้จัดการกองทุน ซึ่งภัทรฯ ก็มี TRACK RECORD ที่ค่อนข้างดี ครึ่งปีที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนของกองทุนเรา 12.4% ในขณะที่ fixed อยู่ประมาณ 10.3%" กุลนันท์กล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่าเธอและทีมงานยังสู้ได้ไม่ยากนักในรอบแรก

เหตุผลที่คีย์วูแมน 2 รายใหญ่ยกมานั้น ค่อนข้างจะเป็นสิ่งที่ฟังขึ้นทีเดียวเนื่องจากเงินกองทุนเป็นเงินของลูกจ้าง และนายจ้างที่ลงขันกันคนละครึ่ง ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการตัดสินใจอะไรลงไปเกี่ยวกับเงินก้อนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดหาผู้จัดการกองทุน

เพราะคำมั่นสัญญาที่แต่ละผู้จัดการให้ไว้เมื่อครั้งมานำเสนอแผนงงานนั้น เอาเข้าจริงแล้วก็ให้หลักประกันความมั่นใจอะไรไม่ได้นัก เพราะในอดีตและปัจจุบันก็รู้กันอยู่ว่า ผู้จัดการกองทุนบางรายบริหารขาดทุนมาแล้วและไม่เฉพาะอัตราผลตอบแทนเท่านั้นที่ไม่เป็นไปตามเป้า แม้กระทั่งเงินกองทุนเองก็ถูกกินส่วนจากการขาดทุนไปด้วย เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเป็นปัจจัยสำคัญ ดีหน่อยตรงที่เป็นเพียงการขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ (UNREALIZE LOST) แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาก็จะปรากฎชัดถึงผลขาดทุนที่เกิดขึ้น

สิ่งเหล่านี้บริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนที่ถูกเลือกเพื่อมาเป็นตัวแทนทั้งลูกจ้างและนายจ้างเล็งเห้นและตระหนังถึงปัจจัยข้อนี้มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันจึงได้มีการจัดเกณฑ์การพิจารณาผู้จัดการกองทุนฯ เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเลือกอย่างเป็นกิจลักษณะกว่าในอดีต

"อันนี้ต้องขอบคุณ การไฟฟ้านครหลวงโดย คุณสุรชัยที่เป็นคนให้ข้อมูลกับรัฐวิสาหกิจทั้งหลายว่า การที่จะก่อตั้งกองทุนฯของกฟน.มาได้ขนาดนี้นั้นมีปัญหาอะไรบ้าง รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐวิสาหกิจ เขาจะมีบรรทัดฐานในการพิจารณา เช่น ค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุน, อัตราผลตอบแทน, ผลงานในอดีต, ข้อมูลข่าวสารที่จะสนับสนุนการลงทุน, ความโปร่งใสในการรายงานข้อมูล, นโยบายให้อิสระกับหน่วยงานที่บริหารกองทุน เพราะบางที่อาจมี CONFLICT ในกรณีฝ่ายวาณิชธนกิจจะเอาหุ้นจองมาขายให้" กุลนันท์กล่าวถึงบทบาทของกฟน. ที่มีส่วนช่วยให้กิจกรรมขอกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

และด้วยผลงานในอดีตนี่เองแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังต้องเลือกใช้บริการผู้จัดการกองทุนจากรายเก่าทั้งหมดในการบริหารเงินกองทุนประเดิมขั้นต้นประมาณ 7,000 ล้านบาท จาการคาดการณ์ว่าระหว่างวันที่ 1-8 พ.ย. จะมีพนักงานธปท. เข้าร่วมสมัครเป็นสมาชิกกองทุนไม่ต่ำกว่า 85% ของจำนวนพนักงาน 5,200 คน ซึ่งรวมถึงพนักงานในภาคต่าง ๆ ด้วย

โดยให้บงล.ทิสโก้เป็นแกนนำในการบริหารเงินกองทุน และผู้จัดการกองทุนแต่ละรายซึ่งหมายรวมถึง บงล.ภัทรธนกิจและบงล.ธนสยาม จะได้เงินทุนไปบริหารรายละ 2,500 ล้านบาท แต่หากวงเงินประเดิมเพิ่มขึ้นสูงเป็น 7,500 ล้านบาท บงล.สินเอเชียก็ได้เข้าร่วมบริหารด้วย "ผู้จัดการกองทุนจะเป็นกี่รายขึ้นกับวงเงินประเดิม แต่จะเลือกผู้จัดการกองทุนตามลำดับที่พิจารณาคัดเลือกไว้" เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธปท.กล่าวถึงกฎเกณฑ์ที่วางไว้

ปรับระบบคอมฯ - เพิ่ม MARKETING - เสริมบริการหวังรักษาส่วนแบ่งตลาด

แม้จะมี TRACK RECORD เป็นเครื่องการันตีความสามารถ แต่ใช่ว่าเจ้าสนามจะภูมิใจอยู่กับความสำเร็จของตนเมื่อครั้งในอดีตเท่านั้น การปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ให้ได้มากที่สุด

"เรายอมรับว่าการแข่งขันที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ปรับตัว เพราะถ้าเรายืนอยู่เฉย ๆ สักวันหนึ่งตลาดนี้ก็คงจะเป็นของแบงก์" ภควิภากล่าวอย่างรู้สถานการณ์ของตัวเอง

เริ่มจากการปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์ เพราะถ้าระบบดีย่อมหมายถึงการบริการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพทิสโก้ได้ลงทุนเพิ่มเติมในด้าน SOFT WARE เพื่อเพิ่มขีดความสามารในการให้บริการ เนื่องจากทิสโก้มีสมาชิกกองทุนที่ต้องดูแลประมาณ 2 แสนรายจากทั้งอุตสาหกรรมที่มีสมาชิกกองทุนประมาณ 7 แสนรายจึงนับว่าค่อนข้างมากทีเดียว

การพัฒนาระบบ SOFT WARE ของทิสโก้เน้นพัฒนาเพื่อเพิ่มบริการเสริมโดยภควิภายืนยันว่าไม่ได้ซื้อโปรแกรมจากเมืองนอก แต่ใช้หน่วยสนับสนุนทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้วคิดค้นพัฒนาขึ้นเอง ทีมงานที่ดูแลระบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเฉพาะมีอยู่ 4-5 คนดึงจากส่วนกลางที่มีอยู่ทั้งหมด 60-70 คน

"เราจะวิเคราะห์ดูว่าบริการใดที่แบงก์ให้แล้วเราให้ได้ อาจจะเป็นรูปแบบอื่นแต่ผลที่สมาชิกได้รับเหมือนกัน อย่างเราไม่มี ATM ก็อาจให้ข้อมูลผ่านระบบ ON LINE ซึ่งเขาก็ดู INDIVIDUAL STATEMENT ได้เหมือนกัน และประหยัดเวลากว่าที่สมาชิกจะต้องไปเสียบบัตร ATM คิดว่าต้นปีหน้าเราคงมีบริการเสริมออกมาอีก 2-3 อย่างนอกจาก ONLINE คือ บริการเสียงเวลาลูกค้าโทรมาถามข้อมูล" ภควิภา กล่าวถึงบริการเสริมของทิสโก้ที่จะมาแข่งกับบริการของแบงก์

ข้างฝ่ายภัทรฯ นั้นลงทุนซื้อระบบ FINANCIAL MODEL จากต่างประเทศกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่ปี'38 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นปรับปรุงให้ประสานกับระบบเดิมไปทีละส่วน

"เป็นระบบที่จะทำ STRUCTURE PORTFOLIO INVESTMENT เหมือนกับที่บลจ. บางที่เขาลงทุนกัน ทำให้ผู้จัดการกองทุนคนเดียวดูได้เป็นร้อยกอง" กุลนันท์กล่าวถึงประสิทธิภาพของระบบ

ในด้านทีมงานที่ดูแลด้านกองทุนกุลนันท์แห่งภัทรฯ กล่าวว่ายังคงอัตราไปจนกว่าจะถึงปีหน้าเพราะทีมงานที่มีอยู่ค่อนข้างใหญ่ ผู้จัดการกองทุน 6 คนเมื่อมีระบบ FINANCIAL MODEL เข้ามาก็คงจะช่วยผ่อนงานลงได้แม้ว่าจะมีงานเข้ามากขึ้นและ ยังมี ดีลเลอร์อีก 4 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ธุรการทำระบบบัญชี ระบบสมาชิก จ่ายเช็คที่คอยช่วยเป็นส่วนสนับสนุนอีกประมาณ 19 คน เจ้าหน้าที่กฎหมาย 2 คนที่ทำเกี่ยวกับสัญญา การจัดตั้งใหม่และกฎระเบียบใหม่ ๆ ส่วนเจ้าหน้าที่คอมพิวเตอร์ของกองทุนมี 2 คน ที่ต้องค่อย SET UP ระบบของภัทรฯ กับระบบของลูกค้าที่มาใหม่ ในส่วนระบบจ่ายเงิน ระบบโอนเงินสมทบเพื่อให้เชื่อมโยงกับระบบของลูกค้า สำหรับเจ้าหน้าที่การตลาดที่ต้องค่อยติดต่อกับลูกค้าโดยตรงมีทั้งหมด 7 คน รวมทั้งกุลนันท์ และเธอกล่าวว่าอาจจะเพิ่มเป็น 10 คนขึ้นกับปริมาณงานที่จะเข้ามา

เทียบกับทิสโก้มีเจ้าหน้าที่เต็มเวลาทำงานในส่วนการตลาด การลงทุน และบริหารสมาชิกกว่า 30 คน โดยในส่วนของบริหารระบบสมาชิกนี้ทิสโก้ได้แยกออกเป็นฝ่ายต่างหาก "เรา เพราะเรามองว่าเรามีสมาชิกเยอะมากจะได้รองรับได้อย่างเต็มที่" ภควิภาให้เหตุผล นอกจากนี้ ยังมีทีมงานสนับสนุนอีกประมาณ 50 คน และด้านบัญชีอีก 10 คนที่มาจากส่วนกลางเพื่อมาช่วยงานกองทุนฯ โดยเฉพาะ

สำหรับส่วนแบ่งตลาดนั้นปี'39 ภควิภาคาดว่าอย่างไรเสียทิสโก้ก็ยังคงครองความเป็นอันดับหนึ่งด้วยสัดส่วน 30% อยู่ได้ส่นภัทรน นั้นกุลนันท์กล่าวว่าสิ้นปี'39 ภัทรฯจะตีตื่นบงล.ธนสยามขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ได้แน่นอน

หมดสมัยการันตีรีเทิร์น คนประกันเจ็บตัว-สมาชิกแย่

นอกจากผลการบริหารกองทุน และการบริการแล้วจุดขายอีกประการหนึ่ง ในอดีตที่ผู้จัดการกองทุนแต่ละรายงัดออกมาใช้สู้ศึก เพื่อแข่งกันก็คือ การประกันอัตราผลตอบแทน หรือ GUARANTEED RETURN แต่ในปัจจุบันดูเหมือนว่าทุกคนต่างพยายามไม่พูดถึงสิ่งนี้เสียแล้ว

ภควิภาได้ให้ประวัติศาสตร์ของเรื่องนี้ไว้ว่า "ตลาดกองทุนฯ บ้านเราเป็นเรื่องใหม่ถ้าเทียบกับอังกฤษหรืออเมริกาที่ผ่านมา 40-50 ปีแล้ว แต่ประเทศเราเริ่มได้ไม่นานนักสมาชิกยังกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯค่อนข้างมากยังไม่ต้องพูดถึงคนต่างจังหวัด คนในกรุงเทพเองก็มีอีกเยอะที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก เพราะฉะนั้นการสร้างความมั่นใจกับลูกค้าจึงต้องใช้เวลานานในการให้ความรู้เขา ถ้าผู้จัดการบอกเขาว่าอย่างน้อยคุณได้เท่านั้นเท่านี้ก็ไม่ต้องอธิบายกันนาน การการันตีจึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ทำให้หาลูกค้าได้ แต่ถ้าในอนาคตโดยเฉพาะขณะนี้เมื่อกระทรวงคลังออกมาบอกว่าจะตั้งกฎให้บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับทางราชการต้องจัดตั้งกองทุนฯ ถึงตอนนั้นตลาดคงพร้อมขึ้นมองว่าทุกคนน่าจะรับรู้ข่าวสารและเข้าใจได้มากขึ้นด้วยว่า การการันตีน่าจะมีข้อเสียเปรียบมากกว่าข้อได้เปรียบโดยเฉพาะเมื่อหุ้นแย่ ๆ"

แน่นอนขณะที่หุ้นขึ้นผู้จัดการกองทุนแต่ละรายต่างก็ลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทนี้อย่างเต็มพิกัด 25% ทุกคนได้รับผลตอบแทนอย่างเป็นกอบเป็นกำเข้าสไตล์ 'บริหารง่ายกำไรงาม' บางแห่งถึงกับการันตีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีของธนาคาร 3-4% เลยทีเดียว และบางครั้งผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นนั้นเลยไปจากจุดที่การันตีไว้เสียด้วยซ้ำ ผู้จัดการกองทุนจึงอาจมีรายได้เข้ามาถึงสองทางคือทั้งผลตอบแทนที่ได้เกินจากการการันตีไว้ และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นค่าจัดการที่บริหารงานได้ตามเป้าหมาย

แต่ในภาวะที่หุ้นตกช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ทุกคนเจ็บเพราะไม่เคยมีใครคาดคิดว่าหุ้นจะตกลงมา 40-50% บางคนถึงกับคาดการณ์ว่าน่าจะลงไปถึงระดับดัชนี 850 จุด เพราะเป็นจุดเดียวกันก่อนที่ดัชนีจะพุ่งขึ้นไปทะลุ 1,600-1,700 จุด

ผู้จัดการกองทุนฯ รายที่ไปการันตีผลตอบแทนไว้จึงอยู่ในอาการบาดเจ็บกันโดยถ้วนทั่วเพราะจำเป็นต้อง 'ชักเนื้อ' ตัวเองเพื่อจ่ายผลตอบแทนแก่สมาชิกกองทุนตามที่ตนได้การันตีไว้มากบ้างน้อยบ้าง ไปตามส่วน

แต่ที่เจ็บหนักที่สุดเห็นจะเป็นสมาชิกหลายรายจะอยู่ในอาการ 'ทุนหายกำไรหมด' เพราะผู้จัดการกองทุนที่นำเงินกองทุนส่วนหนึ่งไปลงทุนในหุ้นและเมื่อหุ้นตกแต่ขายออกไม่ทันจนขาดทุนและบางครั้งกินส่วนไปถึงต้นทุนด้วย แม้ผู้จัดการกองทุนจะรับผิดชอบในส่วนอัตราผลตอบแทนที่ได้การันตีไว้ แต่ในส่วนเงินกองทุนนั้นไม่มีระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องจ่ายถ้าทำขาดทุน เพราะ จะว่าไปยังถือว่าเป็นการขาดทุนเสียทีเดียวเลยก็ยังไม่ได้นัก เพราะเป็นส่วนที่ติดอยู่ในหุ้นเป็นการขาดทุนที่ยังไม่รับรู้ (UNREALIZE LOST) แต่เมื่อใดก็ตามที่ขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าตอนซื้อออกมาผลขาดทุนก็จะปรากฎชัดเจนซึ่งสมาชิกต้องรับผลตรงนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะไม่ขายจนกว่าหุ้นจะขึ้นจนถึงจุดคุ้มทุนหรือได้กำไร ซึ่งก็ไม่แน่ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร และมีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีกถ้ากองทุนนั้นครบกำหนดการบริหาร เพราะสมาชิกหรือคณะกรรมการกองทุนต้องมานั่งทบทวนว่า จะยินดีให้ผู้บริหารรายเดิมต่ออายุสัญญาหรือไม่ หรือจะเปลี่ยนให้ผู้จัดการกองทุนรายใหม่เข้ามาบริหาร และจะทำอย่างไรกับหุ้นที่ยังติดอยู่

ภควิภาซึ่งยืนยันว่าในอดีตทิสโก้ไม่เคยการันตีผลตอบแทนได้ให้คำตอบอย่างน่าฟังสำหรับกองทุนที่บริหารแล้วขาดทุนว่า "เราคงรับแล้วก็ MARK TO MARKET (ราคาตลาด) คือ รับมา AT COST (ราคาทุน) รับมาทั้งหมดแต่เราขอเริ่มนับผลการดำเนินงานที่ราคาตลาด โดยเราจะไม่ให้เขาขายพอร์ตทิ้ง เพราะถ้าขาย YIELD จะกระทบกับสมาชิก"

ส่วนกุลนันท์แห่งภัทรฯ รายนี้เป็นที่ทราบว่าในอดีตได้ใช้กลยุทธ์การันตีผลตอบเช่นกันแต่ในปัจจุบันเธอบอกว่าเลิกใช้กลยุทธ์นี้ไปแล้วเหมือนกัน และได้ให้ความเห็นในกรณีที่มีบริษัทลูกค้าเข้ามาในอาการ 'ทุนหายกำไรหมด' แบบนี้ว่า "เราต้องรับในแง่ ACCOUNTING ณ ราคาทุนถ้าเรารับในราคาตลาด คนที่ได้รับความเสียหายก็คือสมาชิก เพราะฉะนั้นเราจึงค่อนข้างเป็นห่วงคณะกรรมการและสมาชิกกองทุน ดังนั้นเราจะรับมาที่ COST แต่เราก็ขอร้องว่าการวัด PERFORMANCE ต่อไปเพื่อค่าจัดการแก่เราจะมาวันที่ COST ไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำขาดทุนเอาไว้ ก็ขอให้วัดในรูปมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ อันนี้ไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับภัทรฯ แต่มันจะ COMPROMISE แก่ทุกฝ่าย"

จะว่าไปแล้วกองทุนที่มีปัญหาเช่นนี้อาจเรียกได้ว่ามีด้วยกันทุกกองทุนที่ลงทุนในหุ้น เพราะสาเหตุจากหุ้นตกเกินความคาดหมาย ในสายตากุลนันท์ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา และเธอมีความเห็นต่อพอร์ตหุ้นเหล่านี้ว่า "หุ้นลงมา 40% พอร์ตที่ลงทุนหุ้นมาตั้งแต่ต้นปี คิดว่าไม่มากก็น้อยต้องมี UNREALIZE LOST ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่แปลกถ้าการลงทุนนั้น BASE ON FUNDA MENTAL หุ้นมันลงได้มันก็ขึ้นได้ถ้า FUNDAMENTAL ยัง BACK UP และ 10 ปีที่ผ่านมาผลตอบแทนจากตั๋วสัญญาใช้เงินดอกเบี้ยเงินฝาก ทบต้นไปเรื่อย ๆ เอามาทำเฉลี่ยดู 10% ในขณะที่หุ้น 10 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 23% ต่างชาติก็บอกว่าหุ้นดีกว่า FIXED INCOME แน่นอนในระยะยาว ซึ่งกองทุนสำรองมันคือระยะยาวที่ซื้อก็ BASE ON FUNDAMENTAL ที่ถือก็เพราะ FUNDAMENTAL มันเปลี่ยนเช่นผู้บริหารเป็นทีมใหม่ที่บริหารไม่ดี จึงคิดว่าในระยะยาวมันต้อง GAIN เพราะฉะนั้นเรื่องขาดทุนจึงไม่แปลก" ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนหลายรายจึงมีนโยบายลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นลงเหลือประมาณ 5-6% เท่านั้นจากเกณฑ์ที่เปิดให้ถึง 25% แต่บางรายอย่างธีรพันธุ์กล่าวว่า กองทุนที่ธ.กรุงไทยบริหารอยู่นั้นในภาวการณ์อย่างนี้อาจจะไม่ลงทุนในหุ้นเลยในขณะที่บางรายอย่างภัทรฯ ตอนนี้อยู่ที่ 4-7% แต่ถ้าหุ้นบูมมาก ๆ อาจจะถึง 15% ส่วนที่เหลือก็เป็นตั๋ว P/N กับเงินฝากส่วนทิสโก้เฉลี่ยทั้งปีลงทุนในหุ้นประมาณ 10-15% ส่วนหลักทรัพย์ประเภทอื่นก็ลงทุนคล้ายกับผู้จัดการกองทุนด้วยกัน คือตามเกณฑ์กำหนด

ปีนี้ตลาดยังเป็นของไฟแนนซ์ปีหน้าต้องคอยลุ้น

เมื่อไม่มีการันตีผลตอบแทนเป็นตัวดึงความสนใจของลูกค้า ผู้จัดการกองทุนทุกรายึงมุ่งเน้นที่การดำรงเงินกองทุนไว้ก่อนเป็นอันดับแรก และตามด้วยเหตุด้วยผลที่ว่าการฝากเงินกับผู้จัดการกองทุนนั้นย่อมได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า เนื่องจากเมื่อมารวมกับพอร์ตการลงทุนของทุกผู้จัดการกองทุนฯ แต่ละรายได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีระหว่าง 1-3% ทีเดียว

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ รวมทั้งเป็นการลดภาระของบริษัท หรือองค์กรที่จะต้องมาดูแลเงินกองทุนมาก ๆ คาดว่าจะมีบริษัทหรือองค์กรเข้าร่วมตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะเข้ามาในระบบ

สิ้นปี'39 คาดว่ามูลค่าเงินกองทุนที่บริหารอยู่คงถึงทะลุ 7 หมื่นล้านบาท ในอนาคตกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่มีข้าราชการประมาณ 1.7 แสนคนซึ่งคาดว่าอาจจะมีผู้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนประมาณ 80% ดังนั้นจะมีเงินกองทุนจากส่วนนี้อีกประมาณ 7 หมื่นล้านบาท กองทุน กบข.นี้มีพ.ร.บ.จัดตั้งซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร์แล้ว เหลือขั้นตอนประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาซึ่งคงเป็นสิ้นปี หรืออาจเป็นต้นปีหน้ารวมทั้งเงินออมจากภาคเอกชนที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐหรือได้รับการส่งเสริมจากบีไอเอ และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีมูลค่าตลาดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2-3 แสนล้านบาทไม่ยากนัก ซึ่งการแข่งขันในตอนนั้นคงดุเดือนมากกว่านี้

แต่สำหรับปีนี้ตลาดยังเป็นของไฟแนนซ์รายเดิมแน่นอนเพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นส่วนใหญ่เพราะลูกค้ายังเชื่อผลงานในอดีตเป็นสำคัญ เนื่องจากไม่กล้าเอาเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตของพนักงานมาเสี่ยงส่วนที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดหลังจากใบอนุญาตรายใหม่ออกมาเป็นเพียง 'ฤดูกาลล่ารัฐวิสาหกิจ' เท่านั้น

หลังฤดูกลานี้ผ่านพ้นไปผู้จัดการกองทุนแต่ละรายคงหันกลับไปหาลูกค้าเดิมของตนเองและต่างคนต่างทำงานโดยมีฐานลูกค้าที่ชัดเจนขึ้น ที่แน่ๆ คือบริษัทในเครือและพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ปีหน้าเมื่อผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนรายใหม่เหล่านี้ปรากฎออกมา ย่อมจะเป็นที่ประจักษ์และสามารถนำไปเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถมากกว่า 'ราคาคุย' ในวันนี้ได้ เมื่อนั้นไฟแนนซ์เจ้าตลาดคงต้องเหนื่อยกว่าในปีนี้อีกมาก เพราะแค่เปิดตัวในปีนี้รายใหม่ ๆ ก็ประกาศตัวออกมาชัดเจนว่าต้องการส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 10% กันทั้งนั้น ในขณะที่รายเก่าก็ยังยืนยันว่าจะดำรงส่วนแบ่งการตลาดของตนให้ได้มากที่สุด

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us