บุคคลที่เวียนว่ายวุ่นวายอยู่ในแวดวงวรรณกรรม มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้เป็นทุนเดิม
เพราะอย่างน้อยก็อยู่ท่ามกลางแหล่งความรู้ที่มีอยู่ไม่จำกัด
การตื่นตัวต้อนรับกฎหมายลิขสิทธิ์ในส่วนของงานวรรณกรรม ซึ่งหมายถึง งานนิพนธ์ที่ทำขึ้นทุกชนิด
เช่น หนังสือจุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ ปาฐกถา เทศนา คำปราศรัย สุนทรพจน์
และรวมทั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย จึงมีให้เห็นอย่างคึกคัก
สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทั้งก่อนและหลังที่กฎหมายลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ประกาศใช้
มีทั้งการที่บริษัทสำนักพิมพ์ เริ่มมองหาและซื้อหาลิขสิทธิ์ให้ถูกต้องก่อนจะนำออกวางจำหน่ายการแย่งชิง
เพื่อให้ได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ของหนังสือขายดีของสำนักพิมพ์ค่ายใหญ่ ๆ หรือนักเขียนมีชื่อในต่างประเทศ
มีแม้กกระทั่งการเกิดบริษัทตัวกลาง เพื่อทำหน้าที่นายหน้าติดต่อซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือให้กับสำนักพิมพ์ที่ต้องการซื้องานวรรณกรรมของสำนักพิมพ์ในต่างประเทศมาแปล
แล้วพิมพ์จำหน่าย ซึ่งถือเป็นธรุกิจใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังมีกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับล่าสุด
ภายหลังจากที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่เกิดขึ้นทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานอันมีลิขสิทธิ์
ก็คงจะมองกันว่าปัญหาต่าง ๆ คงจะคลี่คลายได้ตามข้อความที่กำหมายกำหนด
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ซ้ำร้ายปัญหาที่เกิดขึ้นถือเป็นคดีตุ๊กตาที่ทำให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องมานั่งทบทวนกฎหมายกันอย่างหนัก
เพื่อตอบคำถามของปัญหาที่มีขึ้นให้ได้ พร้อม ๆ กันไปกับผู้เกี่ยวกับข้องกับคดี
ที่คงจะถือเป็นคดีตัวอย่างให้กับงานลิขสิทธิ์ของวรรณกรรมได้อย่างดี
คดีที่เกิดขึ้น เป็นคดีแรกที่มีการฟ้องร้องตามอำนาจกฎหมาย หลังจากกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับล่าสุดประกาศใช้
'คดีความ' ดังกล่าว คือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างประสิทธิ์ รุ่งเรืองรัตนกุล
กรรมการผู้จัดการ บริษัทสร้างสรรค์-วิชาการ จำกัด กับต่อศักดิ์ กาญจนสุภัคร์
จากสำนักพิมพ์เรือสำปั้นซึ่งอ้างต่อประสิทธิ์ว่าเป็นผู้ได้รับสิทธิในการพิมพ์ผลงานของแอกาธา
คริสตี จากต่างประเทศอย่างถูกต้อง โดยสั่งให้ประสิทธิ์ระงับการพิมพ์และวางจำหน่ายหนังสือของแอกาธา
คริสตี ทั้งหมด
พร้อมกับดำเนินการฟ้องร้องประสิทธิ์ ใน 2 ข้อหาหลังจากนำตรวจเข้ายึดของกลาง
คือหนังสือแปลของแอกาธา คริสตี ที่ประสิทธิ์แปลไว้ จำนวน 28 เรื่อง รวม 4,727
เล่ม เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2539 และเรียกค่าเสียหายสูงถึง 35 ล้านบาท
ข้อหาแรกที่ทางสำนักพิมพ์เรือสำปั้นยื่นฟ้องประสิทธิ์ คือ หนึ่ง-ละเมิด
"เค้าโครงเรื่อง" และ "เนื้อเรื่อง" ของแอกาธา คริสตี
แม้ว่าผู้แปลมีลิขสิทธิ์ในสำนวนแปล แต่มิได้มีลิขสิทธิ์ในเค้าโครงเรื่อง
และ
สอง - มีหนังสือละเมิดลิขสิทธิ์ไว้เพื่อจำหน่าย
ในขณะที่ฝ่ายประสิทธิ์ ยืนยันว่าจะสู้คดีจนถึงที่สุด โดยครั้งแรกมีแรงจูงใจมาจากการไม่ยอมรับในพฤติกรรมและเงื่อนไขของฝ่ายตรงข้ามในการทักท้วงสิทธิ์
แต่ภายหลังได้ไตร่ตรองพร้อมกับศึกษาตีความกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับงานลิขสิทธิ์ที่เคยมีมาทั้งหมดในช่วงที่หนังสือของตนพิมพ์จำหน่าย
รวมทั้งกฎหมายฉบับล่าสุด แล้วเชื่อว่าการกระทำของตนถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน
และยังชี้ให้เห็นถึงความไม่ชัดเจนของกฎหมายลิขสิทธิ์
ที่มีอยู่ด้วย
โดยประสิทธิ์ อ้างถึง กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับแรก พ.ศ. 2521 ซึ่งออกกฎหมายให้ผู้แปล
งานวรรณกรรมของต่างประเทศต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับเจ้าของในต่างประเทศ
แต่ในช่วงที่กฎหมายนี้บังคับใช้ ได้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศเมื่อ พ.ศ. 2526
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ให้คนไทยโดยเฉพาะ โดยมีสาระสำคัญอยู่ว่างานวรรณกรรมชิ้นใด
ถ้าไม่มีผู้นำมาแปลในประเทศไทยนานเกิน 10 ปี สามารถนำงานลิขสิทธิ์ชิ้นนั้นมาแปลได้
โดยไม่ถือว่าผิดกฎหมาย และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
ทั้งนี้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ ได้ถูกประกาศให้ยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ. 2536 โดยให้ผู้แปลงานวรรณกรรมต้องกลับมาขอลิขสิทธิ์ให้ถูกต้องดังเดิม
ซึ่งแน่นอน กฎหมายใดก็ตามไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง
ประสิทธิ์ จึงเชื่อว่า การแปลผลงานของแอกาธา คริสตี ในช่วงที่ตนแปลและพิมพ์จำหน่าย
จึงไม่ถือว่าผิดกฎหมายและไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
อย่างไรก็ดี การตีความของประสิทธิ์จะถูกต้องหรือไม่คงจะต้องรอให้เป็นเรื่องชี้ขาดของศาล
ซึ่งหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานวรรณกรรมกำลังเฝ้าจับตารอผลการตัดสินอย่างใจจดใจจ่อ
เพราะผลของการตัดสินใจในครั้งนี้ จะส่งผลอย่างชัดเจนต่อคนสองฝ่าย คือ หนึ่ง
หากประสิทธิ์ชนะ กลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงคือผู้เป็นเจ้าของงานแปลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันก่อนที่พระราชกฤษฎีกา
พ.ศ. 2536 จะออกมาประกาศยกเลิกการใช้พระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2526 ที่อาจจะสามารถนำผลงานกลับมาพิมพ์ซ้ำเพื่อจำหน่ายต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
แต่ถ้าผลออกมาประสิทธิ์เป็นฝ่ายแพ้ต้องจ่ายเงินค่าเสียหาย 35 ล้านบาท แล้วละก็
กลุ่มที่ได้ประโยชน์ก็คงจะเป็นบรรดาสำนักพิมพ์ที่เล็งผลไกล ด้วยการทุ่มเงินกว้านซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาไว้ในครอบครอง
เพื่อกันไม่ให้บุคคลหรือสำนักพิมพ์อื่นได้รับสิทธิ์ในการพิมพ์ไปก่อนตน
ก่อนที่คดีความจะมีความตัดสินใจชั้นศาล เพื่อได้ผลรับเป็นวิทยาทานแก่ผู้เกี่ยวข้องรวมทั้งคนไทย
ที่ควรรู้จักกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ถ่องแท้เพื่อการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์นี้แล้ว
ประสิทธิ์ ยังได้ตั้งคำถาม ที่รอคำตอบจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ช่วยชี้ชัดด้วยว่า
ที่รอคำตอบจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ช่วยชี้ชัดด้วยว่า อะไรคือวิธีที่ถูกต้องสำหรับงานแปลในช่วงที่พระราชกฤษฎีกา
พ.ศ.2526 มีผลบังคับใช้ได้แก่
1. ในกรณีที่หนังสือที่แปลแล้ว มีการจำหน่ายแล้วและเหลือ จะสามารถนำมาจำหน่าย
อีกได้หรือไม่ หลังจากที่กฎหมายลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มีผลบังคับใช้
2. ในกรณีที่เป็นงานแปลในช่วงดังกล่าว จะสามารถนำสำนวนแปลเดิมกลับมาพิมพ์ซ้ำ
เพื่อจำหน่ายอีกได้หรือไม่ โดยไม่ต้องขอลิขสิทธิ์
คำถามแรก ปัจฉิมา ธนสันติ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการป้องกันการละเมิดทรัพย์สิน
ทางปัญญา ยืนยันว่ากรณีแรกสำนักพิมพ์เจ้าของงานแปลสามารถจัดจำหน่ายต่อไปได้
เนื่องจากได้กระทำขณะที่ยังไม่มีการละเมิด เพราะถูกต้องตามกฎหมายว่า ไม่ถือว่าหนังสือที่เหลือแล้ววางขายนั้นเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์
แต่กรณีที่สอง ปัจฉิมา กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ เพราะมีความเห็นเป็นสองฝ่าย
คือ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าแม้จะเป็นงานที่ทำถูกต้องกฎหมายเก่า แต่เมื่อประกาศใช้กฎหมายใหม่แล้ว
การนำมางานพิมพ์ใหม่ต้องขออนุญาติจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ในเมื่องานเสร็จสมบูรณ์ในตัวแล้ว เมื่อจะนำกลับมาพิมพ์ใหม่
ก็ไม่จำเป็นต้องขอลิขสิทธิ์อีก
เรื่องนี้จึงต้องรอคำตอบจากกรมทรัพย์สินทาปัญญาว่าจะมีวิธีใดที่สรุป และทำให้
กฎหมายเข้าใจได้ชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่
ผลของกฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับล่าสุด ยังส่งผลกระทบต่องานวรรณกรรม กับกลุ่มนักแปลที่ยังปรับตัวไม่ทัน
หรืออาจจะยังไม่ยอมรับในกฎหมายที่ทำให้ความคุ้นเคยในการทำงานแบบเดิม
กับงานที่ต้องมีธุรกิจที่อาศัยกฎหมายมาเป็นเครื่องมือเข้ามาพัวพัน
ผลจากการที่ลิขสิทธิ์งานแปลหนังสือดี ๆ และหนังสือที่ขายดี ต้องตกอยู่กับสำนักพิมพ์ใหญ่ที่มีอำนาจซื้อสูงกว่าตัวผู้สร้างสรรค์งานแปล
รวมทั้งข้อบังคับของกฎหมายที่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ ทำให้ค่าตอบแทนของผู้แปลต้องถูกทอนให้ลดลงเพื่อแบ่งส่วนหนึ่งให้เป็นค่าลิขสิทธิ์
เดิมผู้แปลจะได้ 10% ของราคาจำหน่าย แต่ปัจจุบันครึ่งหนึ่งต้องแบ่งให้กับค่าลิขสิทธิ์
และแม้บางสำนักพิมพ์จะเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 15% แต่เมื่อต้องแบ่งครึ่งหนึ่งออกไป
ทำให้ผู้แปลก็ได้ค่าตอบแทนไม่เท่าเดิมอยู่ดี ส่วนนี้ก็ทำให้นักแปลบางส่วนไม่อยากสร้างสรรค์งานขึ้นมา
ซึ่งจะ
ส่งผลต่อการเผยแพร่งานวรรณกรรมอีกต่อหนึ่ง
แต่ทั้งนี้ นักแปลควรจะนึกไว้ว่า อย่างน้อยก็ควรภูมิใจที่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
หรืออีกกรณี นักแปลบางกลุ่ม ซึ่งเป็นนักแปลงที่มีชื่อเสียงไม่คุ้นเคยกับระบบที่สำนักพิมพ์มอบหมายให้แปล
แต่พอใจที่จะเป็นผู้เลือกเรื่องที่จะแปลเองมากกว่า แต่อาจจะทำไม่ได้ดังเดิม
เพราะผลงานที่ชอบอาจเป็นผลงานที่ตนไม่สามารถเอาลิขสิทธิ์มาครอบครองได้
สิ่งเหล่านี้ เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นจากกฎหมายแต่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนหวังว่า
สักวัน
หนึ่งเวลาจะช่วยประสานความกลมกลืนและความคุ้นเคยกับระบบใหม่นี้ได้ดี
อีกสิ่งหนึ่ง ที่ถือเป็นสิ่งใหม่ซึ่งเป็นผลมาจากการประกาศใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับล่าสุด
คือ การเกิดบริษัทตัวกลางซึ่งทำหน้าที่เป็นนายหน้าติดต่อซื้อขายลิขสิทธิ์ระหว่างสำนักพิมพ์ไทยและสำนักพิมพ์ต่างประเทศ
ที่มีอยู่ถึง 3 บริษัทแล้ว ในขณะนี้
บริษัทแรก เป็นการแตกหน่อมาจากบริษัทในประเทศญี่ปุ่น คือ บริษัท เทอทิล-มอริ
เป็นการร่วมทุนระหว่าง 3 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย ตั้งขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 2535
บริษัทที่สอง ซึ่งถือเป็นบริษัทแรกของคนไทย คือ บริษัทซิลค์โรค พับบลิเซอร์
เอเยนซี ดำเนินงานโดยงามพรรณเวชชาชีวะ ผู้คลุกคลีอยู่ในวงการแปลมาเกือบ 10
ปี และ สามห้างหุ้นส่วนจำกัด วัฒนรัชวรรณศิลป์ มี พรวิภา วัฒรัชนากูล เป็นผู้จัดการ
การมีบริษัทตตัวกลางในการติดต่อซื้อลิขสิทธิ์งานวรรณกรรมจากต่างประเทศ
เป็นภาพพจน์หนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยดูพัฒนาในเรื่องนี้ และทำให้ต่างประเทศยอมรับว่าประเทศไทย
มีระบบการค้าที่ได้มาตรฐานถูกต้อง
โดยการดำเนินงานของบริษัทตัวกลาง เมื่อมีการเจรจาซื้อลิขสิทธิ์เรียบร้อย
บริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ในต่างประเทศจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการติดต่อให้ทั้งหมด
แต่กรณีที่การเจรจาซื้อขายไม่สำเร็จ สำนักพิมพ์ในไทยจะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
โดยบริษัทตัวกลางจะคิดค่าบริการ 10-15% ของมูลค่าการซื้อขาย
ปัญหาที่พบจะมีในส่วนของบริษัทซื้อขาย ก็คือ เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ที่เพิ่งมีขึ้นในประเทศไทย
ทำให้ยังไม่มีมาตรการใดสำหรับการป้องกันกรณีการเล่นเล่ห์เพื่อโกงราคาค่าลิขสิทธิ์
ในกรณีที่มีผู้ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์งานวรรณกรรมชิ้นเดียวกันเข้ามาเกินหนึ่งราย
หรือมีการเสนอให้
ผู้ซื้อมากกว่าหนึ่งราย
ในประเด็นนี้ แม้แต่ผู้ประกอบการธุรกิจนี้เอง ยังยอมรับว่า ปัจจุบันเนื่องจากไม่มีการควบคุมจรรยาบรรณของบริษัทจะรอให้เกิดปัญหาใหญ่ถึงขั้นฟ้องร้องเหมือนคดีของประสิทธิ์ทางที่
ดีควรหาแนวทางป้องกันเสียแต่บัดนี้