นักวิเคราะห์ คาดครึ่งปีหลังวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ต่ำกว่าครึ่งปีแรก49เฉลี่ย 1.8หมื่นล้านบาทต่อวัน แม้การเมืองชัดเจน เหตุ ปัจจัยสำคัญให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนคือภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ - เม็ดเงินต่างประเทศ รวมถึงไตรมาส3 เป็นช่วงที่มีการซื้อขายน้อยที่สุด ทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลรายได้โบรกเกอร์รวมปีนี้ทรุด
นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขาย หลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง49 เฉลี่ยอยู่ที่ 12,000-13,000 ล้านบาทต่อวัน จากครึ่งปีแรก49เฉลี่ย 18,000 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจาก ในช่วงไตรมาส3ของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยที่สุด และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส4 แต่ก้อไม่มากนัก จึงทำให้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 14,000 -15,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 16,000 ล้านบาทต่อวัน เพราะ จากผลกระทบของราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปัจจัยทางการเมือง
ดังนั้นจากมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลงก็จะส่งผลกระทบทำให้รายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ปีนี้ปรับตัวลดลงตามเช่นกัน เนื่องจาก ส่วนใหญ่รายได้โบรกเกอร์จะมาจากรายได้การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ แต่หากดูในด้านรายได้รวมทั้งกลุ่มของโบรกเกอร์ปีนี้จะปรับตัวลงเล็กน้อย เพราะ มีบางโบรกเกอร์ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้ทางด้านที่ปรึกษาทางการเงินมากขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่จะมีผลประกอบการที่โดดเด่นคือ บล.ภัทร และบล.บัวหลวง
นางสาวธริศา ชัยสุนทรโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส บล. นครหลวงไทย กล่าวว่า บริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง49เฉลี่ยอยู่ที่ 14,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 18,400 ล้านบาทต่อวัน แม้จะมีความชัดเจนด้านปัจจัยทางการเมือง ในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้ง การลาออกของ กกต. ก็ทำให้ภาวะตลาดดีขึ้นซึ่งก็จะเป็นในระยะสั้นๆเท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วการที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนนั้นจะต้องพิจารณาภาพรวมของเศรษฐกิจ จะเป็นในทิศทางใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ปัจจัยดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ
รวมถึงปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะต้องติดตามว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงในช่วงครึ่งปีหลังไม่หุ้นขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาซื้อขาย จะมีเพียง บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL จากไตรมาสแรกที่มีหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL และในช่วงต้นปีมีการขายหุ้นของ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ทำให้การซื้อขายมีความคึกคัก
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ต่อวัน ดังนั้นจึงส่งผลให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เพราะ รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์จะขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ จึงทำให้รายได้ของโบรกเกอร์ปีนี้ไม่ค่อยดี โดยบริษัทได้มีการจัดทำบทวิเคราะห์ของหุ้นหลักทรัพย์ เพียง 3 บริษัท เนื่องจาก เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น คือ บล.ภัทร บล.บัวหลวง บล.กิมเอ็ง
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) ธนชาตจำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังของบริษัทหลักทรัพย์ยังคงชะลอตัว เนื่องจาก มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่มาก แต่ก็จะปรับตัวเพิ่มสูงได้เป็นระยะตามหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะ ราคาหุ้นหลายบริษัทในขณะนี้มีค่า P/Eที่สูง แล้วประมาณ 10-15 เท่า
ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายทั้งปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 15,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งลดลงจากปี48ที่มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 16,454.04 ล้านบาทต่อวัน แต่ถ้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 750 จุดขึ้นไป ก็จะทำให้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
|