Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 สิงหาคม 2549
โบรกฯชี้วอลุ่มครึ่งปีหลังหดเฉลี่ย1.2-1.4หมื่นล./วัน-ฉุดรายได้ทุรด             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักวิเคราะห์ คาดครึ่งปีหลังวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ต่ำกว่าครึ่งปีแรก49เฉลี่ย 1.8หมื่นล้านบาทต่อวัน แม้การเมืองชัดเจน เหตุ ปัจจัยสำคัญให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนคือภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ - เม็ดเงินต่างประเทศ รวมถึงไตรมาส3 เป็นช่วงที่มีการซื้อขายน้อยที่สุด ทำให้เฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลรายได้โบรกเกอร์รวมปีนี้ทรุด

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขาย หลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง49 เฉลี่ยอยู่ที่ 12,000-13,000 ล้านบาทต่อวัน จากครึ่งปีแรก49เฉลี่ย 18,000 ล้านบาทต่อวัน เนื่องจาก ในช่วงไตรมาส3ของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายน้อยที่สุด และจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส4 แต่ก้อไม่มากนัก จึงทำให้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 14,000 -15,000 ล้านบาท ซึ่งลดลงปีที่ผ่านมาเฉลี่ย 16,000 ล้านบาทต่อวัน เพราะ จากผลกระทบของราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปัจจัยทางการเมือง

ดังนั้นจากมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลงก็จะส่งผลกระทบทำให้รายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ปีนี้ปรับตัวลดลงตามเช่นกัน เนื่องจาก ส่วนใหญ่รายได้โบรกเกอร์จะมาจากรายได้การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ แต่หากดูในด้านรายได้รวมทั้งกลุ่มของโบรกเกอร์ปีนี้จะปรับตัวลงเล็กน้อย เพราะ มีบางโบรกเกอร์ที่มีกำไรเพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้ทางด้านที่ปรึกษาทางการเงินมากขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่จะมีผลประกอบการที่โดดเด่นคือ บล.ภัทร และบล.บัวหลวง

นางสาวธริศา ชัยสุนทรโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส บล. นครหลวงไทย กล่าวว่า บริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง49เฉลี่ยอยู่ที่ 14,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 18,400 ล้านบาทต่อวัน แม้จะมีความชัดเจนด้านปัจจัยทางการเมือง ในเรื่องการกำหนดวันเลือกตั้ง การลาออกของ กกต. ก็ทำให้ภาวะตลาดดีขึ้นซึ่งก็จะเป็นในระยะสั้นๆเท่านั้น แต่ในระยะยาวแล้วการที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนนั้นจะต้องพิจารณาภาพรวมของเศรษฐกิจ จะเป็นในทิศทางใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ปัจจัยดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ

รวมถึงปัจจัยสำคัญที่จะทำให้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นนั้น ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะต้องติดตามว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงในช่วงครึ่งปีหลังไม่หุ้นขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาซื้อขาย จะมีเพียง บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL จากไตรมาสแรกที่มีหุ้นโรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) บริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL และในช่วงต้นปีมีการขายหุ้นของ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ทำให้การซื้อขายมีความคึกคัก

ทั้งนี้บริษัทคาดว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปีนี้จะอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ต่อวัน ดังนั้นจึงส่งผลให้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เพราะ รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์จะขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ จึงทำให้รายได้ของโบรกเกอร์ปีนี้ไม่ค่อยดี โดยบริษัทได้มีการจัดทำบทวิเคราะห์ของหุ้นหลักทรัพย์ เพียง 3 บริษัท เนื่องจาก เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น คือ บล.ภัทร บล.บัวหลวง บล.กิมเอ็ง

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ (บล.) ธนชาตจำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังของบริษัทหลักทรัพย์ยังคงชะลอตัว เนื่องจาก มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ไม่มาก แต่ก็จะปรับตัวเพิ่มสูงได้เป็นระยะตามหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะ ราคาหุ้นหลายบริษัทในขณะนี้มีค่า P/Eที่สูง แล้วประมาณ 10-15 เท่า

ทั้งนี้คาดว่ามูลค่าการซื้อขายทั้งปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 15,000 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งลดลงจากปี48ที่มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 16,454.04 ล้านบาทต่อวัน แต่ถ้าดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 750 จุดขึ้นไป ก็จะทำให้มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us