นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เจ้าพระยา- มหานคร หนึ่งในเครือ CMC Group เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพัฒนาโครงการขนาใหญ่ในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทได้ตัดสินใจที่จะเดินหน้าพัฒนาโครงการบ้านหรูระดับไฮเอนด์ขึ้นมา โดยจะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ประมาณ 99 ไร่ โซนพระราม 2 ช่วงกิโลเมตรที่ 10 นำมาพัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนท์ โดยได้กำหนดทางเลือกไว้ 2 แนวทางคือ หากสถานการณ์การเมืองสามารถเลือกตั้งใหม่ได้ภายในที่ประกาศไว้ คือ 15 ต.ค.นี้ ทางบริษัทจะดำเนินการพัฒนาโครงการในช่วงปลายปี แต่หากไม่มีการเลือกตั้งในช่วงเวลาดังกล่าว ทางบริษัทจำเป็นต้องเลื่อนไปเปิดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550
" โครงการดังกล่าวจะให้เลื่อนไปมากกว่านี้คงไม่ได้แล้ว เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้ บริษัทต้องเดินตามแผนมิฉะนั้นจะส่งผลกระทบได้ โดยเหตุผลที่ต้องพัฒนาโครงการระดับไฮเอนท์ เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในพื้นที่สีเขียวอนุรักษ์ โดยตั้งแต่กิโลเมตรที่ 8 จะถูกกำหนดให้พัฒนาโครงการระดับบนขึ้นไป ขนาดของบ้านต้องเกิน 100 ตารางวา และด้วยราคาที่ดินที่สูง การเลือกลูกค้าต้องมีความเหมาะสมกับการทำโครงการ"กรรมการผู้จัดการกล่าว
สำหรับในรายละเอียดของโครงการจะพัฒนาเป็น 5 เฟส คือ เฟสที่ 1 และ 2 เป็นบ้านสั่งสร้าง ระดับราคาในช่วงแรกประมาณ 8-15 ล้านบาท ส่วนเฟสที่ 3และ 4 จะเป็นแบบบ้านพร้อมอยู่ รวมทั้งโครงการมีจำนวน 200 กว่าหลัง และมี 30 หลังที่จะขายประมาณ 10-20 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% ของมูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท มูลค่าเงินลงทุนทั้งโครงการกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์
นายแพทย์วิเชียรกล่าวถึงโครงการคาซ่า ยูเรก้า บางแค ว่า สามารถปิดการขายในเฟสที่ 1 และ 2 ได้หมดแล้ว คาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าได้ภายในเดือนก.ย.นี้ การก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่า 90% ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะมีฐานะการเงินค่อนข้างดี ประกอบธุรกิจทางด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ทำให้การตัดสินใจซื้อจะเลือกใช้เงินสดในการโอนสูงถึง 50% เนื่องจากไม่ต้องการมีภาระทางด้านดอกเบี้ยจ่ายแก่ธนาคารพาณิชย์สูงเกินไป
สำหรับโครงการคาซ่า ยูเรก้า พื้นที่พัฒนาโครงการประมาณ 11 ไร่ จำนวนที่เปิดขาย 144 ยูนิต ปัจจุบันในเฟสที่ 1 และ 2 จะมีประมาณ 84 ยูนิต มีส่วนของโฮมออฟฟิศประมาณ 97%และส่วนของทาวน์เฮาส์ประมาณ 7 หลัง ขณะที่เฟสที่ 3 และ 4 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าเมื่อโครงการมีความคืบหน้าทางด้านงานก่อสร้างประมาณ 70-80% จึงจะเริ่มเปิดการขายอย่างเป็นทางการประมาณปลายเดือนพ.ย.นี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าที่จะตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ซึ่งรูปแบบจะมีทั้งโฮมออฟฟิศ,ทาวน์โฮม และทาวน์เฮาส์ประมาณ 12 หลัง
" หากจะมองภาพรวมโซนฝั่งธนบุรี ฐานะอาจจะไม่ค่อยดีหรือเด่นกว่าโซนอื่นๆ ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้ามาพัฒนาโครงการในทำเลดังกล่าวจะทำสินค้าระดับล่างเพื่อให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า แต่การที่โครงการคาซ่า ยูเรก้า เสนอราคาขายที่สูงขึ้นประมาณ 7-8% มาอยู่ที่ 2.8-2.9 ล้านบาท เนื่องจากทางโครงการได้เน้นการก่อสร้างที่มีคุณภาพ วัสดุก่อสร้างที่ดี เฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่มเข้าไปให้แก่ลูกค้า ดังนั้นกำไรจากโครงการยูเรก้าจะอยู่ประมาณ 12% จากมูลค่าโครงการ 430 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายประมาณ 500 ล้านบาท "
ด้านนายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ CI กล่าวว่า บริษัทคงจะชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ ในส่วนของบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนท์ไปก่อน เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง และทิศทางของเศรษฐกิจยังไม่ค่อยจะดีนัก โดยขณะนี้คงเหลือเพียงโครงการบ้านอิสสระ พระราม 9 ปัจจุบันเหลือขายอยู่เพียง 8 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายในปีนี้ โดยในยูนิตสุดท้ายบริษัทจะพัฒนาเป็นบ้านขนาดใหญ่บนเนื้อที่ 1 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 1,200 ตารางวา พร้อมตกแต่ง สไตล์โม-เดิร์นหลุยส์ ราคา 130 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตกแต่งภายใน คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดการขายได้ในเดือนต.ค.49นี้
สำหรับที่ดินบริเวณย่านสุวรรณภูมินั้น แจงว่า เดิมมีที่ดินประมาณ 1,334 ไร่ โดยเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม มารูบินี จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น ในการก่อตั้งบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีซอร์ท ดีเวลลอป-เม้นท์ จำกัด หรือ IRD เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้ขายให้แก่บริษัท คิงพาวเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป ของนายวิชัย รักศรีอักษร ไปจำนวน 300 ไร่ ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาพื้นที่บางส่วนเป็นโกดังเก็บของ,สนามกอล์ฟขนาด 9 หลุม ซึ่งเป็นสนามปิดไว้สำหรับให้บริการแก่สมาชิก
สำหรับที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งถือว่าเป็นที่ดินแปลงงามติดคลองพระองค์เจ้าไชยยานุชิต อีกจำนวน 49 แปลง รวม 98 ไร่ ซึ่งทางนายวิชัย รักศรีอักษร มีแผนที่จะนำบางแปลงมาปลูกสร้างบ้านของตนเอง และที่เหลือจะขายให้กับบุคคลใกล้ชิด อีกทั้งยังมีนโยบายที่จะสร้างโรงแรม สไตล์วิลล่า และสปอร์ตคอมเพล็กซ์ บนพื้นที่ 40 ไร่ จำนวน 40 ห้อง รองรับลูกค้าอีกส่วนหนึ่ง โดยในอนาคตเมื่อทางคิงพาวเวอร์ฯมีการพัฒนาโครงการขึ้นมา ลูกค้าก็จะสามารถใช้บริการ ในส่วนสนามกอล์ฟและสนามโปโลได้ด้วยเช่นกัน
"การที่กลุ่มคิงพาวเวอร์ฯซื้อที่ดินของเราไป เท่ากับเป็นการช่วยบุกเบิกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่กลุ่มบริษัทก่อน ทำให้ที่ดินมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทได้ซื้อไว้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว โดยไม่ได้คิดว่าจะซื้อเพื่อรองรับสุวรรณภูมิแต่อย่างใด เพราะขณะนั้นยังไม่มีอะไรชัดเจน แต่ที่ซื้อเพราะเห็นว่าเป็นทำเลที่ดีมีศักยภาพ เป็นรอยต่อไปยังจังหวัดต่างๆในภาคตะวันออกทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมมากที่สุด และยิ่งปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิแล้วเสร็จพร้อมที่จะเปิดให้บริการได้ในเดือนก.ย.นี้ด้วยแล้วยิ่งส่งผลดีต่อศักยภาพที่ดินเพิ่มขึ้นอีกจากเดิมที่ดินดิบในย่านนี้ราคาไร่ละประมาณ 2 ล้านบาท ขณะนี้ปรับขึ้นมาไร่ละประมาณ 4 ล้านบาท ในส่วนของบริษัทยังไม่มีความรีบร้อนที่จะนำที่ดินส่วนที่เหลือมาพัฒนาโครงการ เพราะที่ดินไม่ได้มีภาระหนี้สินแต่อย่างใด คงรอให้ระบบสาธารณูปโภคในย่านสุวรรณภูมิพร้อมเสียก่อน ซึ่งอนาคตคงจะพัฒนาโครงการในรูปแบบของเมืองที่มีทุกรูปแบบครบวงจร ทั้งที่อยู่อาศัย,สำนักงาน,ศูนย์การค้าและโรงเรียน เป็นต้น "นายสงกรานต์กล่าว
สำหรับโครงการในส่วนต่างจังหวัดนั้น ยังมีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณชะอำ จ.เพชรบุรี จำนวน 14 ไร่ มาพัฒนาโครงการใหม่ซึ่งคอนเซ็ปต์จะคล้ายกับบ้านเพลินทะเลภายใต้ชื่อ "บ้านชาญทะเล" ในรูปแบบของ พูลวิลล่าติดทะเล จำนวน 5-6 ยูนิต ราคาประมาณ 30 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมโลว์ไรท์ 7 อาคารจำนวน 160 ยูนิต พื้นที่รวม 20,000 ตารางเมตร ราคาประมาณ 3-12 ล้านบาท ทั้งนี้ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบคาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณวันที่ 23 ตุลาคม 2549
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะซื้อที่ดินในตัวเมืองหัวหิน ใกล้กับโรงแรมสายลม อีก 1 แปลง พื้นที่ประมาณกว่า 10 ไร่มีแผนที่จะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรท์ สูง 7 ชั้น จำนวน 6 อาคาร ระดับราคา 5-7 หมื่นบาท ต่อตารางเมตรเนื่องจากอยู่ในเมือง ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
โครงการศรีพันวา จ.ภูเก็ต ที่ผ่านมาบริษัทได้ซื้อที่ดินบนแหลมพันวาเพิ่มอีก 27 ไร่ เพื่อพัฒนาในเฟสที่ 3 ต่อเนื่องโดยจะพัฒนาเป็นพูลวิลล่า ให้เช่า จำนวน 50-60 ยูนิต ระดับราคา 800-1,200 เหรียญสหรัฐต่อคืนงบการลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท โดยบริษัทจะใช้งบลงทุนมาจากการขายวิลล่าในโครงการศรีพันวามาพัฒนาต่อ ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในปี 50 และจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง
|