ปี 2000 บริษัท เดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด ในจินตนาการของ ณรงค์ องค์ธเนศ จะเป็นบรรษัทข้ามชาติด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชีย
แปซิฟิก (IT regional Multinational Corporation) จากปัจจุบันที่เป็นเพียงผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่าย
(Authorized Distributor) อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะโน๊ตบุ๊ค
เครื่องแม่ข่าย ซอฟต์แวร์ และ Computer workstation
ตามแผน 10 ปีที่ลั่นวาจาไว้เมื่อต้นทศวรรษนี้ ได้มีการแบ่งขั้นตอนการขยายกิจการบริษัทออกเป็น
3 ขั้นตอนด้วยกันและคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 2,500 ล้านบาท
ขั้นแรกระหว่างปี 1991-1995 เป็นการสร้างเครือข่ายด้านการตลาด และการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย
โดยแบ่งเป็น 3 ภูมิภาคย่อย ได้แก่ อินโดจีน 3 ประเทศ อาเซียน 6 ประเทศ และเอเชียเหนือ
ได้แก่ จีนและไต้หวัน ซึ่งที่ผ่านมาณรงค์ได้เข้าไปลงหลักปักฐานกิจการในสิงคโปร์
โดยถือหุ้น 100% และเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นในอินโดนีเซียถือหุ้นเพียง
20% เท่านั้น นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นมาเลเซียเพื่อเข้าไปเจาะตลาดนี้อีกครั้งหลังจากที่ล่าถอยมาครั้งหนึ่ง
โดยบริษัทพยายามที่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ก้าวที่ 2 ได้กำหนดไว้ในปี 1996-1997 โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
และสร้างเทคโนโลยีเป็นของตนเองด้วยวิธีเข้าไปซื้อกิจการต่างชาติ แต่จนถึงบัดนี้แวลลูซิสเตมส์ยังไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้แต่อย่างใด
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะโชคไม่เข้าข้างที่ปีนี้เศรษฐกิจเกิดตกต่ำและตลาดหุ้นยังคลำหาจุดต่ำสุดไม่เจอทำให้โครงการเข้าตลาดฯ
ต้องชะลอออกไปเป็นปี 1998 ซึ่งบงล.คาเธ่ย์ทรัสต์ จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น
(Underwriter)
เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แวลลูซิสเตมส์ ก็ได้ประกาศการร่วมทุนในลักษณะของ
Venture Capital กับบริษัท Vikay Industrial จำกัด ผู้ผลิต และจำหน่าย LCD,
LCD Module และ PCBA ของสิงคโปร์ พร้อมด้วย Rothschild Ventures Asia Pte
Ltd. บริษัทในเครือของ N M Rothschild & Son Limited ซึ่งเป็น Merchant
Bank ที่เก่าแก่ถึง 2 ศตวรรษของอังกฤษ และบริษัทเงินทุนญี่ปุ่นอีก 1 แห่ง
ซึ่งขณะนี้ยังไม่เปิดเผยชื่อได้ เพราะอยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารทางกฎหมายเพื่อลงนาม
โดยทั้ง 3 บริษัทนี้จะถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 19.69% จากการร่วมทุนครั้งนี้ทำให้แวลลูซิสเตมส์มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาใช้เป็นเงินทุนหมุน
เวียนหล่อเลี้ยงบริษัทอีก 65 ล้านบาท
"เงินที่ได้มาส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนของ Vikay และ Rothschild ซึ่งทั้งสองนี้จะให้ประโยชน์เราในแง่ของคนเนกชั่นที่มีอยู่กว้างขวาง
ขณะเดียวกันเองยังได้ผลิตภัณฑ์ของ Vikay มาจำหน่ายอีกด้วย และที่สำคัญยังช่วยให้
Term of Condition ที่เราจะได้จาก Supplier ดีขึ้นด้วยเพราะทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงทั่วโลก"
ณรงค์ในฐานะประธานกรรมการบริหาร กล่าวด้วยความปลาบปลื้มในวันลงนามร่วมทุนกับสองบริษัทหลังจากที่เคร่งเครียดเจรจากันมาถึง
3 เดือน โดย Rothschild เป็นฝ่ายแนะนำ Vikay ให้เข้ามาร่วมทุนครั้งนี้ด้วย
ขณะที่ ธนาธิป วิทยะสิรินันทร์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวาณิชธนกิจ บงล.คาเธ่ย์ทรัสต์
ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของฝ่ายแวลลูซิสเตมส์พูดถึงดีลนี้ว่า "การร่วมทุนครั้งนี้เป็นก้าวแรกในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการในด้านของเครือข่าย
การตลาด การเงิน และการผลิต โดย Rothschild และบริษัทเงินทุนญี่ปุ่นจะเอื้อผลประโยชน์ด้านการตลาด
ขณะที่ Vikay จะเข้ามาช่วยเหลือด้านเทคนิคและการจัดการ และคาดว่าบริษัทจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาด
ได้ประมาณปี 1998"
ด้าน Rothschild Ventures Asia บริษัทเพื่อการลงทุนที่เข้ามาตั้งรกรากในสิงคโปร์เมื่อปี
1973 โดยทำหน้าที่ดูแลพอร์ตการลงทุนในเอเชียที่มีเงินทุนประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากเงินทุนทั้งหมดทั่วโลก 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท
ซึ่งในไทย Rothschild ได้ให้ความสนใจต่ออุตสาหกรรมด้านการผลิต, อิเล้กทรอนิกส์
ที่เกี่ยวข้องด้านซอฟต์แวร์ การผลิตและจัดจำหน่าย ซึ่งแวลลูซิสเตมส์อยู่ในข่ายนี้
รวมไปถึง Consumer Service อาทิ ธุรกิจอาหาร และบันเทิง โดยเฉลี่ย Rothschild
จะลงทุนในโครงการหนึ่งยาวนานประมาณ 4-5 ปี คือจะลงทุนก่อนบริษัทเข้าตลาดฯ
2 ปี และจะถือต่อไปหลังเข้าตลาดอีกประมาณ 3 ปี
"ธุรกิจ IT โดยเฉพาะด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ ตลอดจนถึงทรัพยากรบุคคลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย
แต่ละวันธุรกิจนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นวิธีทางการตลาด
ช่องทางการกระจายสินค้า เทคโนโลยีผมมองว่าแวลลูซิสเตมส์เป็น Dynamic Company
และผมก็เชื่อมั่นว่าคุณณรงค์จะสามารถ serve ความต้องการของคนไทยและคนในเอเชียได้เป็นอย่างดี"
Mark T Geh กรรมการบริหาร Rothschild ผู้ซึ่งผ่านงานดูแลพอร์ตการลงทุนในลักษณะเดียวกันจาก
San Francisco Bay Area หรือ Silicon Valley นานถึงหกปีครึ่ง สรุปเหตุผลที่ตัดสินใจร่วมทุนครั้งนี้
ส่วน Vikay โดย Macus Tanihaha ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เปิดเผยความในใจที่เข้ามาร่วมทุนครั้งนี้ว่า
เป็นการเข้ามาปูทางเพื่อเจาะตลาดไทยและตลาดในประเทศอาเซียน เนื่องจากแวลลูซิสเตมส์เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งด้านการจัดจำหน่าย
"เราเห็นว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยมีศักยภาพการเติบโตสูงมาก"
เมื่อเดือนตุลาคมแวลลูซิสเตมส์ ได้นำเข้าผลิตภัณฑ์แว่นตาสามมิติสำหรับเล่นเกมคอมพิวเตอร์
3D SPEX ของบริษัท NuVision Technologies ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Vikay ที่ซื้อกิจการเข้ามาและมีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐฯ
โดยผลิตภัณฑืนี้เป็นตัวนำร่องให้แวลลูซิสเตมส์เข้าสู่ธุรกิจทางด้านค้าปลีกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตลาดคอนซูเมอร์อย่างเต็มที่
เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 8% ขณะที่ตลาดนี้ยังมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อไปอีกมหาศาล
ซึ่งณรงค์เองก็มองเห็นถึงจุดนี้เช่นกัน
"Vikay เป็นผู้พัฒนาและผลิตสินค้า 3D SPEX ซึ่งเหมาะสำหรับตลาดพันธุ์ทิพย์พลาซ่ามาก
โดยยอดขายของตลาดนี้ตกเดือนละ 500 ล้านบาท ขณะที่เรามีส่วนแบ่งเพียง 30 ล้านบาทต่อเดือนเท่านั้น"
นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังได้มีการเตรียมทีมงานเพื่อมาดูแลทางด้าน Superstore
ซึ่งเป็นอีก Segment หนึ่งของตลาดคอนซูเมอร์ โดย ณรงค์คาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะมีส่วนแบ่งในตลาด
Superstore ประมาณ 15-18% ของตลาดพีซีคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
ดูเหมือนว่าในขั้นตอนที่ 2 ตามแนวทาง alue Global Vision ของณรงค์จะคลาดเคลื่อนจากเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้แต่ต้น
เพราะในปี 1997 บริษัทจะต้องระดมเงินทุนจากตลาดหลัก ทรัพย์เพิ่มอีกประมาณ
500 ล้านบาทเพื่อนำมาใช้ขยายกิจการให้ต่อเนื่องจนถึงขั้นตอนที่ 3 ที่กำหนดไว้ในปี
1998-2000 ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาของการสร้างโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ทางด้าน IT อาทิ
ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และผลิตภัณฑ์ด้านเทเลคอม ภายใต้ยี่ห้อ 'Value' โดยไทยจะเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าออกไปยังแหล่งต่าง
ๆ ทั่วเอเชีย ซึ่งณรงค์ก็ได้หมายมั่นที่จะให้ Mark Geh จาก Rothschild เข้ามานั่งในบอร์ดคณะกรรมการบริหารบริษัท
เพื่อเป็นพี่เลี้ยงคอยชี้แนะเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่บริษัทจะเข้าไปซื้อ เพราะเขาผู้นี้มีพื้นฐานความเชี่ยวชาญทางด้าน
Computer Architecture และยังผ่านงานจาก Silicon Valley ซึ่งถือเป็นตักศิลาทางด้านคอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลกอีกด้วย
แต่ในภาวะการแข่งขันที่เชือดเฉือนกันด้วยราคาขายทำให้มาร์จินสินค้าลดลงตามอันจะมีผลต่อกำไรของบริษัทในที่สุด
ดังนั้นหากจะดูความแข็งแกร่งของบริษัทให้แน่ยอกขายจะไม่ใช่ตัวที่โชว์ผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัทได้
ซึ่งณรงค์ตระหนักในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และก็ได้เผยถึงภารกิจที่จะต้องเตรียมพร้อมก่อนเข้าตลาดฯ
ในปี 1998 นี้ว่า
"ในปีหน้าเราจะเน้นในเรื่องของกำไร (Earnings) แทนเรื่องยอดขาย เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์
โดยหน่วยธุรกิจทั้ง 6 จะต้องเน้นการทำกำไร นอกจากนี้เราจะมีการปรับปรุงระบบการบริหาร
การควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย การควบคุมสินค้าคงคลัง รวมถึงการจัดเก็บหนี้ และระบบการจัดจำหน่าย
ผมคาดว่าในปีหน้าเราจะมีกำไรถึง 75% จากยอดขาย 2,500 ล้านบาท" ในปี
1995 บริษัทมียอดขายทั้งสิ้น 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,358 ล้านบาทในปี
1994
ปัญหาในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทุนหมุนเวียน ระบบการจัดเก็บหนี้ที่ไม่มีประสิทธิผล
หรือแม้แต่การบริหารงานที่มีลักษณะเป็น One Man Show ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นที่แวลลูซิสเตมส์ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก
ณรงค์จะสามารถแก้ไขปมปัญหาเหล่านี้ให้ผ่อนคลายเพื่อให้ฝันเป็นจริงได้แค่ไหน
การหาพาร์ตเนอร์ร่วมทุนและความพยายามที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ จะสามารถช่วยปัญหาสภาพคล่อง
และเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทได้มากน้อยแค่ไหนการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บเงินด้วยวิธีลดการชำระด้วยเครดิตมา
เป็นการเรียนเก็บเงินสดมากขึ้น จะช่วยผ่อนคลายปัญหาบัญชีลูกหนี้ที่มีปัญหาเรียกเก็บเงินไม่ได้ดีขึ้นเพียงไร
และที่สำคัญระบบการบริหารงานที่รวมศูนย์อยู่ที่ตัวณรงค์ เพียงผู้เดียวจะได้รับการแก้ไขไปในรูปแบบใดล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบทั้งสิ้น