|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ทนง พิทยะ" โปรยยาหอม ไม่ล้มดีล กรุงศรีฯ-จีอี แจงขอเวลาพิจารณารายละเอียดก่อนอนุมัติ ทั้งเรื่องของกฎหมายสัดส่วนการถือหุ้นต่างชาติในแบงก์ และโครงสร้างผู้ถือหุ้น "หม่อมอุ๋ย" ไม่ขัดข้องยืนยันพิจารณาตามกฎหมายและแผนแม่บทการเงิน คาด 2 วันได้ข้อสรุป
"ทนง" ลังเลไม่กล้ารีบเซ็นควบแบงก์ "กรุงศรีฯ-จีอี"
นายทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เพิ่งได้รับรายงานเกี่ยวกับกรณีการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กับธนาคารจีอี มันนี่ เพื่อรายย่อย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ จีอี แคปปิตอล เอเชียแปซิฟิก จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยจากรายงานที่ได้รับพบว่า ยังมีประเด็นสำคัญที่เข้าใจไม่ตรงกันระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง จึงทำให้ยังไม่สามารถลงนามอนุมัติอย่างรวบรัดได้
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบเพื่อประสานงานให้ทั้งสองหน่วยงานได้มีการหารือกัน ให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันต่อไป อย่างไรก็ตามยืนยันว่า จะไม่มีการดึงเรื่องดังกล่าวให้ยืดเยื้ออย่างแน่นอน โดยมั่นใจว่าสัปดาห์หน้าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารจีอี มันนี่ ได้นี้ แต่ติดปัญหาที่ยังไม่ได้อนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงต้องเลื่อนกำหนดการแถลงข่าวออกไป นายทนงกล่าวว่า คงต้องขอโทษไปยังผู้บริหารของธนาคาร ที่เตรียมจัดให้มีการแถลงข่าวถึงเรื่องความร่วมมือดังกล่าวในช่วงบ่ายของวันที่ 16 ส.ค. เพราะเพิ่งจะได้รับรายงาน จึงต้องขอพิจารณาถึงรายละเอียดเล็กน้อย คาดว่าใช้เวลาไม่นานนัก" นายทนงกล่าว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เรื่องความร่วมมือของธนาคารกรุงศรีอยุธยา และกลุ่มจีอี นายทนงได้รับรายงานมาถึงตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา และได้มอบหมายให้ที่ปรึกษาไปพิจารณาเอกสารที่ได้รับ เพราะมีเนื้อหาสาระมาก แต่เนื่องจากในช่วงที่เป็นวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประกอบกับเขามีภารกิจหลายอย่าง และต้องเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี จึงทำให้เพิ่งจะมีเวลาได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังในวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังควรมีเวลาพิจารณาเรื่องดังกล่าวประมาณ 1 สัปดาห์
ซึ่งหลังจากพิจารณาแล้วพบว่า ยังมีประเด็นหลักสำคัญที่สองหน่วยงานต้องทำความเข้าใจร่วมกัน ได้แก่ กรณีอำนาจการตัดสินใจอนุมัติการควบรวมกิจการดังกล่าว ว่าเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือเป็นอำนาจของ ครม. โดยหากสรุปได้ว่า เป็นอำนาจของรัฐมนตรี ก็สามารถลงนามได้ภายในต้นสัปดาห์หน้า แต่หากพบว่าเป็นอำนาจของ ครม. ก็จะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ครม. ในวันอังคารที่ 22 ส.ค.นี้ ต่อไป
นายทนง กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่สำคัญกรณีการกำหนดสัดส่วนถือครองหุ้นในธนาคารพาณิชย์ของต่างชาติ โดยได้มอบหมายให้ทั้งสองหน่วยงานไปพิจารณาในข้อกฎหมายตามมาตรา 5 ทวิ และมาตรา 5 เบญจ ของพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ที่สองหน่วยงานยังมีการตีความแตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่าสามารถให้ต่างชาติแต่ละรายถือหุ้นเกิน 5% ได้หรือไม่ เนื่องจากกฎหมายดังกล่าว เปิดช่องไว้เพื่อช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ในที่นี้จะต้องพิจารณาเหตุผลของ ธปท. ที่ต้องการให้มีการควบรวมกิจการเป็นหลัก
"ผมคงต้องขอโทษแบงก์ด้วย เพราะว่าผมเพิ่งได้รับรายงาน และวันนี้ (16 ส.ค.) เพิ่งมีการประชุมกัน โดยเห็นว่ายังมีรายละเอียดที่ต้องคุยกันอีกนิดหน่อย ซึ่งคุณชัยวัฒน์จะดูแลให้อย่างดีที่สุด ความจริงผมก็อยากให้ทำเสร็จในสัปดาห์นี้ แต่ก็ต้องรอเขาสรุปมาก่อน ผมว่าเรื่องนี้ คลังกับแบงก์ชาติควรเข้าใจให้ตรงกัน แต่ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมีการคุยกันมาก่อน แบงก์ชาติก็เสนอมาฝ่ายเดียว คลังก็ดูฝ่ายเดียว เลยบอกให้เอาสองฝ่ายมาคุยกัน แต่ผมยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่นานหรอก จบได้แน่ๆ ไม่มีการล้มดีล" นายทนง กล่าว
อนึ่งมาตรา 5 ทวิ ตาม พรบ.การธนาคารพาณิชย์ฯ ระบุไว้ว่า "บุคคลใดจะถือหุ้นธนาคารพาณิชย์ใดเกินร้อยละห้า ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของธนาคารพาณิชย์นั้นมิได้ เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ถือหุ้นเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย หรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์นั้น รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย มีอำนาจผ่อนผันให้มีการถือหุ้นเป็นอย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ ไว้ด้วยก็ได้"
ส่วนมาตรา 5 เบญจ ระบุว่า "ธนาคารพาณิชย์ต้องมีจำนวนหุ้นที่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยถืออยู่ไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด และต้องมีกรรมการเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทยไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด แต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องแก้ไขฐานะหรือการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ใด รัฐมนตรีด้วยคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจผ่อนผัน ให้มีจำนวนหุ้นหรือกรรมการเป็นอย่างอื่นได้ ในการผ่อนผันนั้นจะกำหนดเงื่อนไขใดๆ ไว้ด้วยก็ได้"
แบงก์ชาติไม่ขัดข้องแผนจีอีฯ ซื้อหุ้นกรุงศรีฯ คาดอีก 1-2 วัน ชัดเจน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แบงก์ชาติได้เสนอรายละเอียด และความคิดเห็นทั้งหมดของการขอเข้าซื้อหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาของกลุ่มบริษัทจีอีฯ ไปที่กระทรวงการคลังหมดแล้ว ซึ่งรายละเอียดการเสนอแผนก็เป็นไปตามที่กลุ่มจีอีฯ และธนาคารกรุงศรีฯ เสนอมา ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะเป็นมารยาท ต้องรอให้กระทรวงการคลังตัดสินใจก่อน ส่วนจะอนุมัติตามที่เสนอมาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังพิจารณา เพราะขณะนี้หมดหน้าที่ของแบงก์ชาติแล้ว
"สิ่งที่เขาเสนอมาแบงก์ชาติก็ไม่ได้มีอะไรขัดข้อง คิดเห็นยังไงเราก็เขียนเสนอไปหมด เราเสนอไปตามที่ได้คุยกับกลุ่มบริษัทจีอีฯ และธนาคารกรุงศรีครั้งก่อนที่เขามาพบ แต่เรื่องนี้เราคงไม่พูดไปก่อนรัฐมนตรี คาดว่าคงต้องรอให้ทางเจ้าหน้าที่ของคลังได้มีโอกาสดูรายละเอียดของเรื่องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก่อนจะมีข้อสรุปออกมา" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ด้าน นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า การจะอนุญาตให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 25% ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะแบงก์ชาติส่งความเห็นทุกอย่างไปหมดแล้ว แต่คงยังบอกไม่ได้ว่าเสนออย่างไร แต่ยืนยันว่าการพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้อกฎหมาย คาดว่าอีกประมาณ 1-2 วันนี้ คงมีความชัดเจน ซึ่งการเข้ามาถือหุ้นของต่างชาติเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง และรองรับความเสียหายให้กับธนาคารพาณิชย์ได้มากขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ดี
กรุงศรีฯ ออกหนังสือขอเลื่อนแถลงข่าว
นางชาลอต โทณวนิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารขอเลื่อนการแถลงข่าวความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์กับ จีอี มันนี่ ไปก่อน เนื่องจากเรื่องกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรอให้มีการพิจารณาอนุมัติเรียบร้อยก่อน จึงจะแจ้งวันและเวลาของการแถลงข่าวต่อไป
"เดิมธนาคารคาดการณ์ว่าจะได้รับอนุมัติจากกระทรวงคลัง ในการที่จีอี มันนี่ ได้แสดงความจำนงในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร ภายในวันที่ 15 สิงหาคม แต่เมื่อยังมีการพิจารณาอยู่ ธนาคารก็พร้อมที่จะรอเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและพิจารณาอย่างรอบคอบจากทุกๆ ฝ่ายก่อน" นางชาลอตกล่าว
ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การควบรวมกิจการของธนาคารกรุงศรีอยุธยากับธนาคารจีอี มันนี่ เพื่อรายย่อยนั้น ทางจีอีจะต้องคืนใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ให้กับธปท. เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของธปท.ที่กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินจากต่างประเทศต้องเลือกสถานะใดสถานะหนึ่งในการดำเนินธุรกิจ
ธปท.ได้ส่งเรื่องที่บริษัทจีอี แคปปิตอล เอเชีย แปซิฟิค จำกัด เข้าไปซื้อหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังว่าจะพิจารณาต่อไป ส่วนรายละเอียดที่ธปท.นำเสนอไปยังกระทรวงการคลัง ก็ยังเป็นไปตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (มาสเตอร์แพลน) ซึ่งเป็นแนวทางในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน
"หลังจากที่บริษัทจีอีฯ เข้าไปถือหุ้นในธนาคารกรุงศรีฯ แล้ว ต้องคืนใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อยกลับคืนมายังแบงก์ชาติ หลังจากนั้นจะดำเนินการยังไงต่อไปก็ต้องแล้วแต่ธนาคารจีอีมันนี่ เพื่อรายย่อย ไม่ว่าจะเป็นการรวมกับธนาคารพาณิชย์อื่นหรือสถาบันการเงินอื่นแล้วยกระดับมาเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ หรือไปรวมกับสถาบันการเงินอื่นแล้วยกระดับตัวเองเป็นธนาคารพาณิชย์รายย่อยก็ได้ ขึ้นอยู่กับเงินทุนที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามต้องไม่กระทบต่อเงินฝากของลูกค้าเป็นสำคัญ"
อนึ่งก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบถึงมติของคณะกรรมการธนาคารที่เห็นชอบให้จัดสรรหุ้นสามัญใหม่แก่บริษัทจีอี แคปปิตอล เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ซึ่งธนาคารขอชี้แจงว่า หุ้นที่คณะกรรมการธนาคารให้ความเห็นชอบในการจัดสรรครั้งนี้ เป็นหุ้นที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 92 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2549 ที่ได้อนุมัติหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2,000 ล้านหุ้น
โดยที่ประชุมได้กำหนดให้เสนอขายแก่นักลงทุนในลักษณะเฉพาะเจาะจง หรือผู้ลงทุนประเภทสถาบัน ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทจีอี แคปปิตอล เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ที่เสนอซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวในราคาหุ้นละ 16.00 บาท ซึ่งจะเสริมศักยภาพในการแข่งขันของธนาคาร และสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งจะนำมาซึ่งผลประกอบการที่ดี จึงให้ความเห็นชอบในการจัดสรรหุ้นตามราคาที่เสนอดังกล่าวแต่จากสัดส่วนเข้าถือหุ้นสามัญ จำนวน 25% หรือ 16,000 ล้านบาทนั้น ทำให้บริษัทจีอี แคปปิตอล เอเชีย แปซิฟิค จำกัด จะต้องได้รับอนุญาตจากธปท.เสียก่อน ซึ่งในขณะนี้บริษัทจีอี แคปปิตอล เอเชีย แปซิฟิค กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการขออนุญาตจากทางธปท.
|
|
|
|
|