พฤกษาปรับแผนดึงโครงการที่จะเปิดในปี 2550 มาเปิดปลายปีนี้ หวังสร้างรายได้เพิ่ม คาดก่อนสิ้นปีช่วยสร้างยอดขาย 1,000 ล้านบาท ระบุยอดขายรอรับรู้รายได้ในปีนี้ในมือ 4,036 ล้านบาท ขณะที่มียูนิตรอขายกว่า 10,764 ยูนิต ระบุมีมาร์เก็ตแชร์ 15.6% ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตทฯ เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกผลประกอบการของหลายบริษัทลดลง โดยเฉพาะในส่วนของกำไร เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาวการณ์แข่งขันทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาสินค้าได้ อีกทั้งมีการจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดขาย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลายบริษัท ได้ปรับตัวเพื่อพัฒนาสินค้าให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหญ่ คือ บ้านระดับกลาง-ล่าง รวมถึงบริษัทได้ปรับแผนการพัฒนามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วโดยเน้นเปิดโครงการทาวน์เฮาส์มากขึ้น
ซึ่งได้เปิดโครงการทาวน์เฮาส์ไปแล้ว 11 โครงการ มูลค่า 4,571 ล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 15 โครงการ ส่งผลให้บริษัทเหลือโครงการที่จะเปิดอีก 2 โครงการ คือ พฤกษา 5/1 และโครงการ ซิตี้วิว คอนโดมิเนียมจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ รวมเป็น 17 โครงการ
และเมื่อบวกกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวมเป็น 38 โครงการ จำนวน 10,764 ยูนิต มูลค่า 16,754 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งตลาดบ้านจัดสรร 15.6% เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่อยู่ที่ระดับ 14% หากแยกเป็นตลาดทาวน์เฮาส์มีส่วนแบ่งตลาด 40% จากปีที่แล้วมี 39% และตลาดบ้านเดี่ยวมีส่วนแบ่งตลาด 5%
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทมีโครงการที่จะเปิดใหม่เพียง 2 โครงการเท่านั้น ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างยอดขายให้เพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้ตัดสินใจเลื่อนโครงการที่จะเปิดในปี 2550 มาเปิดในปีนี้ ประมาณ 5-6 โครงการ ใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินประมาณ 400 ล้านบาท เช่น รังสิตคลอง 6, ลาดกะบัง, สุวินทวงค์, บางปู, ลาดหลุมแก้ว (กันตนา) และบางใหญ่ ทั้ง 6 โครงการคาดว่าจะหนุนยอดขายเพิ่มได้กว่า 1,000 ล้านบาท
"สิ่งที่เราต้องปรับตัวตอนนี้ คือ เลื่อนเปิดโครงการให้เร็วขึ้นเพื่อสร้างยอดขาย บริษัทพฤกษาสามารถทำได้อยู่แล้วเพราะไม่มีต้นทุน อีกอย่างด้วยกระแสเงินสดที่มากถึง 1,000 ล้านบาท ทำให้ได้มีข้อได้เปรียบในการลงทุน และถ้าบริษัทรีบเปิดในช่วงปลายปีนี้ ก็จะมีรายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้าได้อีก สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในปี 2550 ไม่น้อยกว่า 18-20 โครงการมูลค่าโครงการกว่า 7,000-8000 ล้านบาท" นายประเสริฐกล่าว
คาดครึ่งปีหลังตลาดรวมยอดขายอืด
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้ 4,202 ล้านบาท และมียอดขายที่รอโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าในช่วงไตรมาส 3-4 อีก 4,036 ล้านบาท ไตรมาสที่ 2 มียอดขายลดลง 12.1% มียอดขายรวม 1,795 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2549 ที่ทำได้ 1,895 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 5.3% แต่จากการที่ บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างสินค้าใหม่ เพิ่มสัดส่วนของทาวน์เฮาส์ ราคา 6-9 แสนบาทและบ้านเดี่ยวราคา 1.7 - 2.5 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยให้สถานการณ์การขายของครึ่งปีหลังมีความคล่องตัวขึ้น
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้รวม 2,126 ล้านบาท สูงขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2548 ที่รับรู้รายได้ 1,701 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ซึ่งมียอดรับรู้รายได้ 2,076 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก 717 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับ ครึ่งปีแรกของปี 2548 ที่ทำกำไรสุทธิได้ 568 ล้านบาท และในไตรมาสที่ 2 นี้ มีกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2548 ซึ่งทำกำไรสุทธิได้ 270 ล้านบาท เป็น อัตราส่วนเพิ่มขึ้น 28.9% ขณะที่รายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2549 มี 4,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากงวดเดียวกันของปี 2548 ที่ได้ 3,360 ล้านบาท
"อย่างไรก็ตามในไตรมาสที่ 3 คาดว่า ภาคอสังหาฯจะมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยลบยังคงมีอยู่ ทั้งอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน รวมถึงปัญหาการเมือง เพราะอย่าลืมว่ากำลังซื้อบ้านของคนไม่ได้กลับมาชั่วข้ามคืน เหมือนกับซื้อของกินของใช้ มันต้องใช้เวลา และเชื่อว่าไตรมาส 3 จะเป็นอีกไตรมาสที่ผู้ประกอบการต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้น ตอนนี้ใครโกยได้ก็ต้องรีบโกย เพราะปัจจุบันการซื้อขายบ้านไม่มีฤดูกาลเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯมีภาวะกดดันว่าจะต้องสร้างรายได้และผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้น จะมานั่งรอฤดูขายบ้านไม่ได้" นายประเสริฐกล่าว
ลลิลฯยอมรับอสังหาฯ ยังเจอปัจจัยลบ
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไตรมาส 2 มียอดรับรู้รายได้ 507.69 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกเท่ากับ12.77% และเมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนปรับลดลง 29.15% และมีรายได้รวมครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,090 ล้านบาท กำไรสุทธิรวม 237 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.29 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกของปี 2549 ที่ 0.12บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อราคาตลาดของหุ้นประมาณ 5%-6%
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมอสังหาฯ นายไชยยันต์กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดค่อนข้างผันผวนสูง เนื่องจากมีปัจจัยลบเข้ามกระทบธุรกิจ ทั้งเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีความผันผวนและความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
LPNโตเกินเป้า
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ ฯ กล่าวว่า ไตรมาส 2 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152 % เป็นผลจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดใน 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 77 และลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 57 % สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่ม Real Demand ที่มีความต้องการพักอาศัยอยู่จริง ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นแต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรสุทธิจำนวน 322 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160 % และในไตรมาสที่ 3-4 ปี 2549 นี้ บริษัทฯ มีแผนการโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการลุมพินี วิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่า 1,950 ล้านบาท และห้องชุดพักอาศัยที่ค้างโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาสที่ 2 จากโครงการลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 77 และลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า อีกประมาณ 890 ล้านบาท
|