ขณะที่อาชีพนักวิเคราะห์หรือ Analyst เป็นที่เฟื่องฟูมากในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งคนที่ยึดอาชีพนี้ในยุคแรก มาวันนี้น่าจะไต่ขึ้นมาเป็นระดับอาวุโส หรือหัวหน้าฝ่ายในบริษัทหลักทรัพย์ไปแล้ว
ส่วนอาชีพที่ปรึกษาหรือ Consultant ก็ไปได้ดีเรื่อย ๆ ในสังคมธุรกิจยุคทุนการเงินเป็นกระแสหลัก
กลุ่มคนเหล่านี้มีอัตราค่าตอบแทนรายเดือน ตั้งแต่เรือนหมื่นจนถึงหลายแสนบาทในภาคเอกชนขณะที่หากหันมามองวิชาชีพใกล้เคียงกันในภาคราชการแล้ว
ห่างไกลยิ่งนัก
มีความพยายามที่จะจัดหน่วยงาน เพื่อสนับสนุนการทำวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย
ทั้งในแง่การตั้งเป็นหน่วยงานแยกออกมาต่างหากและบริหารเองเช่น TDRI หน่วยงานที่ยังอิงภาครัฐเช่น
สถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศ (สวทช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.)
หน่วยงานที่โดดเด่นที่สุดในเวลานี้คือ สกว. ซึ่งตั้งขึ้นในยุคของรัฐบาลอานันท์
ปันยารชุน เป็นหน่วยงานที่มี พ.ร.บ. จัดตั้งเฉพาะ ขึ้นต่อสำนักยากรัฐมนตรี
มีเงินกองทุนจำนวนมากที่จัดสรรมาจากงบประมาณแผ่นดิน และนำดอกผลมาใช้มอบเป็นทุกนวิจัยให้นักวิชาการที่มีผลงานเยี่ยมยอดสกว.
ในตอนนี้จึงเป็นกลไกที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการสร้างงานวิจัยในประเทศ
รางวัล เมธีวิจัย สกว. เริ่มให้มาตั้งแต่ปี 2537 แต่ในปีนั้นยังไม่ได้มีการตั้งชื่อว่า
"เมธีวิจัย สกว." เพิ่งจะมีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการเมื่อปี
2538
สำหรับปี 2539 นี้มีนักวิชาการได้รับคัดเลือกเป็นเมธีวิจัย สกว.ทั้งหมด
16 คน แบ่งเป็นด้านวิทยาศาสตร์ 12 คนด้านมนุษยศาสตร์ 2 คน และสังคมศาสตร์
2 คน
รศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และดร.เมธี ครองแก้ว เป็นเมธีวิจัย สกว.ด้านสังคมศาสตร์
2 คนในปีนี้
รังสรรค์ เป็นชาวกรุงเทพมหานครสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนวัดบวรนิเวศ
ระดับปริญญาตรี (เกียรตินิยมดีมาก) จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยได้รับพระราชทาน ทุนภูมิพลตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เรียน และได้ทุนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี
และปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
หลังจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ธรรมศาสตร์ เขาได้รับราชการเนอาจารย์สอนหนังสือที่คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ปี
2511 จนถึงปัจจุบัน เขาเป็นผู้ที่มีผลงานทางวิชาการ และงานเขียนอย่างโดดเด่นสม่ำเสมอ
ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ได้รับทุนเมธีวิจัย สกว.ในปีนี้ ซึ่งหากไม่มีจุดนี้เข้ามาในชีวิตเขา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อาจต้องสูญนักวิชาการคุณภาพไปอีกคนหนึ่ง หลังจากที่เขาอดทนอยู่กับระบบที่นี่มานานผ่านยุคที่ใครต่อใครเลิกเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยกันไปเป็นจำนวนมาก
"หากว่าทุนนี้เกิดขึ้นมานาน คือมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันจะดึงให้คนอยู่ที่มหาวิทยาลัยได้เยอะ
ทุนแบบนี้มาช้าไป คนหนีมหาวิทยาลัยหมดแล้วในเวลานี้ ผมเกือบจะหนีมหาวิทยาลัยแล้ว
ทุนนี้มาในจังหวะที่ผมกำลังตัดสินใจว่าผมจะมาทำงานเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเอกชนดีไหม
แล้วเขาให้ทุนผม ผมเลยต้องกลับไปทำงานวิจัยใหม่" รังสรรค์เปิดเผยกับ
"ผู้จัดการรายเดือน"
คณะกรรมการผู้พิจารณาให้ทุนแก่เมธีวิจัย สกว.ไม่เป็นที่เปิดเผย แต่ชื่อของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเมธีวิจัย
สกว.ในแต่ละปีที่ประกาศออกมานั้น ไม่เป็นที่กังขาแก่แวดวงวิชาการ ไม่ว่าจะเป็น
ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศาตราจารย์ดร.เขียน
ธีระวิทย์, รศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, รศ.ดร.ศณีศักร วัลลิโภดม เป็นต้น
รังสรรค์เคยได้รับทุนวิจัยมาพอสมควร แต่ไม่มีทุนวิจัยครั้งใดที่ได้มากเท่าครั้งนี้
เขาเคยได้ทุนวิจัย 4 ล้านบาท เป็นเวลา 4 ปี สำหรับครั้งนี้เป็นทุนที่ไม่ได้เขียนข้อเสนอหรือ
Proposal เพื่อขอทุน และผู้ที่ได้รับทุนจะทำวิจัยเรื่องอะไรก็ได้ โดยในแต่ละปีต้องมีผลงานให้เห็นเพื่อที่จะได้รับทุนในปีถัดไป
ซึ่งทุนนี้จะให้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 ปี ๆ ละ 3 ล้านบาท
นอกเหนือจากการได้รางวัลทุนวิจัย จากการเป็นเมธีวิจัย สกว.แล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยได้รับเชิญเป็นองค์ปาฐก
ซึ่งเขาถือว่าเป็นการให้รางวัลด้วยเช่นกัน ปาฐกถาที่เขาแสดงได้แก่ ปาฐกถาปรีดี
พนมยงค์ ปาฐกถาสุภา ศิริมานนท์ และปาฐกถาไชย้ง ลิ้มทองกุล
ผลงานทางวิชการหลัก ๆ ของเขาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มแรกเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์การศึกษา ซึ่งเป็นงานช่วงแรกหลังจากที่เขากลับจาก
ต่างประเทศ เขาได้เข้าไปช่วยคณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในปี
2517 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขาผลิตงานเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การศึกษาออกมามากพอสมควร
เขาทิ้งเรื่องนี้ไปในช่วงปี 2522-2523 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาไปช่วยทบวงมหาวิทยาลัยในการปฏิรูประบบการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย
แล้วปรากฏว่าทบวงฯ ไม่ได้เอาจริงในเรื่องนี้ อย่างไรก็ดีระบบที่เขา และดร.โคทม
อารียา ดร.พจน์ สะเพียรชัย ซึ่งร่วมเป็นคณะทำงานได้เสนอไว้ในตอนนั้น กำลังจะมีการนำมาใช้ในปี
2542 นี้ คือระบบที่ให้น้ำหนักกับผลการเรียนในร.ร. และลดความสำคัญของการสอบสัมฤทธิผล
ให้ความสำคัญกับการสอบ Aptitude Test และมี Achievement Test ด้วย
เขากลับมาสนใจเรื่องนี้ใหม่เมื่อรับตำแหน่งบริหารเป็นรองอธิการบดี ฝ่ายงางแผนและ
พัฒนาเช็ค ในปี 2537 เขาเสนอให้มีการขึ้นค่าเล่าเรียนประมาณ 300% เพราะมหาวิทยาลัยไม่เคยมีการปรับค่าเล่าเรียนโดยส่วนมากเลย
ข้อเสนอของเขาไม่ได้มีผลกระทบกับนักศึกษาปัจจุบัน แต่เปลี่ยนแปลงสำหรับคนที่เข้าใหม่
และให้มีการกันเงินรายได้ส่วนหนึ่งสำหรับนักศึกษาที่ยากจนกันไว้ถึง 10% ซึ่งเป็นวงเงินที่เยอะมากแต่มีคนมาขอน้อยมาก
เพราะคนจนหลุดไปตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว นอกจากนี้ให้กันเงินไว้เป็น
Saving หรือเงินรายได้พิเศษของมหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งนโยบายกันเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จะมากำหนดจังหวะก้าวของการพัฒนามหาวิทยาลัย
เขาเล่าว่า "ผมศึกษาเรื่องนี้มาก ใช้เวลามากในการทำข้อมูล มีโปสเตอร์ด่าผมเต็มท่า
พระจันทร์ ผมต้องไปเจรจากับผู้แทนนักศึกษา กับองค์การนักศึกษาฯ นอกจากนี้ก็มีกรรมการสภามหาวิทยาลัยทักท้วงเป็นจำนวนมาก
แต่ผมก็พยายามดังให้ผ่าน เพราะถ้าไม่ผ่าน มหาวิทยาลัย ก็อยู่อย่างนี้ ทำอะไรไม่ได้
แม้กระทั่งห้องสมุดก็ยังทำไม่ได้"
- งานกลุ่มที่สองของเขาคือการศึกษาเรื่องเศรษฐศาสตร์การคลัง ซึ่งเขามีผลงานออก
มาเป็นจำนวนมาก ทั้งงานสอนและงานวิจัย
- งานกลุ่มที่สาม เป็นงานเรื่องประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ คล้ายกับพัฒนาการของ
ระบอบเศรษฐกิจไทย มีผลงานเช่น กระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจประเทศไทย
ทั้งนี้งานวิจัยที่เขากำลังศึกษาต่อเนื่องในตอนนี้ก็อาจนับเข้าในกลุ่มงานที่สามของเขา
แกนหลักของงานวิจัยที่รังสรรค์สนใจศึกษาอยู่ในเวลานี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการของทุนวัฒนธรรมทั้งในสังคมเศรษฐกิจโลกและสังคมเศรษฐกิจไทย
บทความเรื่องฟุตบอล รักบี้ คริกเก็ต เครื่องดื่ม เครื่องแต่งกายอขงเขาที่ตีพิมพ์ในช่วง
หลังเป็นการศึกษาถึงกระบวนการสากลานุวัตร (สากล+อนุวัตร) หรือมาจากศัพท์
Internationalization ของสินค้าและบริการเหล่านี้
ตัวอย่างเรื่องกีฬานั้น เขาอธิบายว่า "ผมต้องการดูว่ากีฬามีกระบวนการสากลานุวัตร
อย่างไร กีฬาจะกลายเป็น International Sport ได้อย่างไร แต่ก่อนนี้กระบวนการที่จะทำให้มันเป็นกีฬาสากลนี่มันอาศัยระบบจักรวรรดินิยม"
กีฬาอย่างกอล์ฟ และการตั้งสโมสรกีฬาหรือ Sport Club ล้วนแล้วแต่มาพร้อมลัทธิจักรวรรดินิยม
แต่ตอนนี้ระบบจักรวรรดินิยมวัฒนธรรมกำลังเข้ามาแทนที่ เขาต้องการศึกษาการเคลื่อนตัวของสินค้าวัฒนธรรมเหล่านี้
เพื่ออธิบายพัฒนาการของทุนวัฒนธรรมซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจระบบทุนนิยมโลก
รังสรรค์ไม่เพียงแต่เป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่โดดเด่นมีผลงานต่อเนื่องสม่ำเสมอเท่า
นั้น ผลงานเขียนด้านอื่น ๆ ก็มีไม่น้อย เขาเล่าว่า "ชอบอ่านหนังสือประวัติบุคคล
หนังสือบันทึกความทรงจำหากคุณให้ผมเล่าเรื่องปัญญาชนอังกฤษในทศวรรษ 1920-1930
นี่ผมอ่านหนังสือในช่วงนั้นค่อนข้างเยอะ ยุคของเคนส์ กลุ่มบลูมส์เบอรี่ส์
เป็นต้น"
ในยุคหนึ่งเขามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในงานเขียนที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร "โลกหนังสือ"
ของ
บรรณาธิการสุชาติ สวัสดิ์ศรี ซึ่งกลายเป็นนิตยสารที่เป็นตำนานไปแล้ว นอกจากนี้ผลงานในวารสารธรรมศาสตร์ในยุคใกล้เคียนกันเป็นงานที่นอกเหนือไปจากเรื่องวิชาการเศรษฐศาสตร์ก็มีอยู่ไม่น้อย
เขาเล่าว่าในช่วงหลังไม่ค่อยมีเวทีแบบโลกหนังสือให้เขียนอีก "ช่วงที่ผมเขียนให้โลก
หนังสือนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังมีปัญหาส่วนตัว เพราะว่าหลัง 6 ตุลานี่ผมค่อนข้าง
depress ผมไม่ได้ทำงานวิชาการเป็นเวลาปีกว่าถึง 2 ปี เพราะว่าผมถูกรบกวน"
นอกเหนือจากการอ่านงานวิชาการเศรษฐศาสตร์แล้ว เขาอ่านหนังสืออะไร? "ขณะนี้
ส่วนใหญ่ผมอ่านพวกนิตยสาร ใช้เวลาไปกับพวกนี้เยอะ เช่น อ่าน London Book
Review ในนั้นจะมีบทความดีมากทุกประเภท และผมกำลังอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ภาษาอังกฤษ
กำลังดูกระบวนการสากลานุวัตรของภาษา"
แม้ว่าจะมีผลงานวิชาการที่โดดเด่นต่อเนื่องสม่ำเสมอในการอธิบายเศรษฐกิจสังคมไทย
แต่ปรากฎว่าในการสัมมนาครั้งสำคัญ ๆ เรื่องไทยศึกษาหรือ Thai Studies ไม่ว่าครั้งใดที่มีการจัดขึ้น
น่าประหลาดใจที่เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ผู้นี้ไม่เคยได้รับเชิญร่วมประชุมสักครั้ง