|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เมเจอร์ฯ เตรียมผุดคอมมูนิตี้มอลล์ที่รัชโยธิน หลังทุ่มซื้อที่ดินผืนติดกันกว่า 12 ไร่เรียบร้อย พร้อมดึงสยามฟิวเจอร์ฯ เข้าพัฒนาร่วมกัน เผยผลประกอบการไตรมาสที่สอง กำไรพุ่ง 108% ส่วนครึ่งปีแรกกำไรกว่า 389 ล้านบาท โกยรายได้แล้ว 2,505 ล้านบาท ด้านแผนพัฒนาช่องทางขายตั๋วออนไลน์สมบูรณ์แบบคาดเดือนหน้าเต็ม 100% แน่นอน หลังเลื่อนมาจากเมษายน
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาพื้นที่ข้างๆ เมเจอร์สาขารัชโยธิน ให้เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่ดินที่เพิ่งซื้อมาจากเจ้าของที่ดินเดิมประมาณ 12 ไร่ มูลค่ากว่า 800-1,000 ล้านบาท และจะพัฒนาให้เชื่อมต่อกับโรงหนังเมเจอร์รัชโยธิน เพื่อสร้างศักยภาพให้กับโครงการนี้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่สาขารัชโยธินนี้มีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่กว่าเท่านั้นอง
ทั้งนี้โครงการนี้คาดว่าจะลงทุนร่วมกับทางบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทเมเจอร์ฯ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 21% แต่ยังไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด ซึ่งเบื้องต้นนี้จะเป็นโครงการที่มีความเป็นมอลล์ใหญ่กว่าที่เคยทำมา เช่นที่ เจอเวนิว จะเป็นธุรกิจค้าปลีกที่เปิดดกว้าง อาจจะมีห้องสมุด หรือซูเปอร์มาร์เก็ตให้บริการ ประกอบกับธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมทั้งสร้างที่จอดรถด้วย
กำไรไตรมาสสองพุ่ง108%
นายวิชากล่าวถึงผลประกอบการของบริษัทฯ ในไตรมาสที่สองปีนี้ว่า มีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,386 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 243 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.31บาท) เพิ่มขึ้น 108% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนผลการดำเนินงานรวมของครึ่งปีแรกปีนี้ มีรายได้รวม 2,505 ล้านบาท กำไรสุทธิ 389 ล้านบาท (กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.52 บาท) และมีส่วนแบ่งทางการตลาดโรงหนังประมาณ 75% โดยสัดส่วนรายได้มาจากการขายตั๋วเป็นหลัก 56% โฆษณา 12% โบว์ลิ่ง 10% จัดจำหน่ายหนัง 9% พื้นที่ให้เช่า 8% ที่เหลือเป็นอื่นๆ
การเติบโตของไตรมาสที่สองเป็นเพราะว่าได้ขยายสาขาใหม่ 3 สาขา รวม 23 โรง โบว์ลิ่ง 54 เลน คือเมเจอร์ 2 สาขาที่หัวหิน สมุย และพารากอนซีนีเพล็กซ์ ทำให้ปัจจุบันทั้งกลุ่มมี 3 แบรนด์ จำนวน 33 สาขา รวม 281 โรง และโบว์ลิ่ง 414 เลน ซึ่งเฉพาะไตรมาสที่สองบริษัทฯโตมากกว่า 35%
ส่วนครึ่งปีหลังมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ภายใต้แบรนด์ เอสพานาร์ด ที่ถนนรัชดาภิเษก และเมเจอร์ฯ ที่พิษณุโลก และแจ้งวัฒนะ ส่งผลให้สิ้นปีนี้เมเจอร์กรุ้ปจะมีสาขาทั้งสิ้น 36 สาขา รวม 4 แบรนด์ ทั้งหมด 303 โรง โบว์ลิ่ง 22 สาขา จำนวน 462 เลน ซึ่งปีนี้คาดว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยอัตราการเข้าใช้บริการในโรงหนังเมเจอร์ทั้งกลุ่มของลูกค้ามีประมาณ 21-50%
“ผมมองว่า ครึ่งปีหลังรวมทั้งปีหน้าธุรกิจยังเติบโตดีในภาพรวม ดีกว่าช่วงไตรมาสแรกที่โดนกระทบจากปัญหาการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหนังไทยยังแข็งแกร่ง ซึ่งหนังใหญ่ท้ายปีคือ พระนเรศวร ปีหน้าก็ยังมีหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มใหญ่หลายเรื่อง เช่น สไปเดอร์แมน แฮร์รี่พอตเตอร์ เป็นต้น”
สำหรับแผนลงทุนในปีหน้า จะมีการใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 800-1,000 ล้านบาท เพื่อเปิดสาขาใหม่อีกประมาณ 4 สาขา เช่นที่พัทยาและอีกหลายจังหวัด รวมทั้งจะมีการรีโนเวทและเพิ่มจำนวนโรงในสาขาเดิมด้วย เช่น ที่อีจีวีอิมพีเรียลสำโรง เป็นต้น เพิ่มจาก 4 โรงเป็น 12 โรง
ออนไลน์สมบูรณ์แบบเดือนหน้า
นายกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า แผนการนำระบบออนไลน์มาใช้หรือที่เรียกว่า มูฟวี่ออนไลน์ อย่างเต็มรูปแบบนั้น ด้วยการเปิดตัว New Era of Service กับ เมเจอร์เอ็มแคช โดยจะมีการพัฒนาระบบช่องทางการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ใหม่ๆให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น เช่นการซื้อตั๋วหนังออนไลน์ผ่านช่องทางพิเศษนี้ ระบบมูฟวี่ไลน์ โทร 02-515-5555 ผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถพริ้นตั๋วที่บ้านได้ ผ่านตู้อัตโนมัติคีออส คาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้ระบบทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบและเริ่มเปิดใช้ได้ในเดือนหน้าอย่างจริงจัง ซึ่งอาจจะล่าช้าจากเดิมไปบ้างที่ตั้งใจว่าจะใช้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากว่าระบบงานมีความซับซ้อนมาก
โดยช่วงที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองใช้ระบบมูฟวี่ออนไลน์กับ 5 สาขาหลัก ผลตอบรับค่อนข้างดี โดยมีสัดส่วนการใช้มูฟวี่ออนไลน์ของลูกค้าในการซื้อตั๋วหนังประมาณ 2% จากรายได้รวม
อย่างไรก็ตามเป้าหมายใหญ่ของเมเจอร์ฯ คือต้องการที่จะให้ลูกค้าใช้บริการผ่านระบบดังกล่าวนี้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอดขายไปในตัวด้วย โดยเป้าหมายหลักของเมเจอร์ฯ คือการดึงผู้ที่เล่นอินเทอร์เน็ตในไทยกว่า 12 ล้านคน หันมาใช้บริการนี้
“เราจะมีลูกเล่นใหม่ๆ นอกจากระบบขายตั๋วแล้วยังมีบริการอื่นเช่น หนังสี่มิติ ที่คาดว่าจะเริ่มที่บางสาขาคือที่ สยามดิสคัฟเวอร์รี่เซ็นเตอร์ และที่ซีคอนสแควร์"
นายวิชากล่าวเสริมว่า ในประเทศไทยถือว่าการใช้บริการด้านอินเทอร์เน็ตนี้ยังน้อยมาก เมื่อเทียบกับต่างประเทศเช่น เกาหลีใช้บริการซื้อตั๋วผ่านมือถือมากกว่า 25% หรือในอเมริกาใช้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตมากกว่า 40%
ทุกวันนี้เมเจอร์ฯ มีลูกค้ามากกว่า 4 แสนคนต่อสัปดาห์ ที่พร้อมจะสามารถต่อยอดการบริการต่างๆ ให้กับทั้งเมเจอร์ฯ เองและพันธมิตรที่จะเข้ามาใช้บริการ บีโลว์เดอะไลน์ที่สาขาของเมเจอร์ฯ กรุ้ปแต่ละแห่ง และเราสามารถที่จะเชื่อมโยงกับข้อมูลของระบบที่เรานำมาใช้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการทำซีอาร์เอ็มได้ด้วย
|
|
|
|
|