เผยแนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ยังไปได้สวย แม้จะเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น "เคลิสซิ่ง" สวนกระแสเศรษฐกิจขาลงประกาศขยับอัตราดอกเบี้ยอีก 0.10% มั่นใจไตรมาสสุดท้ายจะเริ่มนิ่ง เดินหน้าขยายสาขาต่างจังหวัดเจาะกลุ่มลูกค้าภูมิภาค เมินกลยุทธ์ลดเงินดาวน์อ้างความเสี่ยงสูงเน้นให้บริการจับฐานลูกค้าแบงก์มั่นใจขยายสินเชื่อได้ตามเป้า ลั่นปีหน้าคุ้มทุนแน่ ด้าน "ธนชาต" โชว์สินเชื่อครึ่งปีโต 51% คาดครึ่งปีหลังโตใกล้เคียงกัน เพราะการเมืองเริ่มชัดเจนจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้น
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทเปิดดำเนินกิจการมาครบ 1 ปีเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2549 พบว่าสามารถดำเนินธุรกิจได้ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัทปล่อยได้เกินเป้าที่ตั้งไว้เดือนละ 1,000 ล้านบาท โดยใน 7 เดือนของปีนี้บริษัทปล่อยสินเชื่อได้กว่า 7,750 ล้านบาท ซึ่งในอีก 5 เดือนที่เหลือเชื่อว่าจะปล่อยได้เกินเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 1.2 หมื่นล้านบาท และสำหรับสินเชื่อรวมตั้งแต่เปิดบริษัทมาอยู่ที่ 10,900 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเกินเป้าที่ตั้งไว้
“ในปีแรกที่เราเปิดดำเนินการตั้งเป้าไว้ 2,000 ล้านบาท สินเชื่อจริงที่ปล่อยได้ 3,150 ล้านบาท แต่เราสามารถทำทะลุเป้ากว่า 50% พอปีที่ 2 เราตั้งเป้าปีนี้ 11,500 ล้านบาท แต่ 7 เดือนที่ผ่านมาเราสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 7,000 กว่าล้านแล้ว ซึ่งเท่ากับว่าเราทำเกินเป้าไปกว่า 10% แล้ว โดยในอีก 5 เดือนที่เหลือมั่นใจเป้า 12,000 ล้านบาท ทำได้แน่นอน”
เล็งปรับดอกเบี้ยอีก 0.10%
สำหรับในครึ่งปีหลังเชื่อว่ายอดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จะขยายตัวมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรกเนื่องจากในช่วงไตรมาส 4 จะเป็นฤดูกาลของการขายรถยนต์ ขณะที่บริษัทรถยนต์ก็ออกรถรุ่นใหม่ๆ มากระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ด้วย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยก็เริ่มนิ่งแล้ว ซึ่งล้วนส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของลูกค้า
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนั้นบริษัทจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง 0.10 % ในเดือนก.ย.หลังจากที่ได้ปรับขึ้นครั้งล่าสุด 0.10% เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 3.65% โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. 0.10% จะเป็นการปรับขึ้นครั้งสุดท้ายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ 3.75% โดยหลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีหน้าสเปรดของบริษัทจะอยู่ที่ เกือบ 2% แต่แนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต้นทุนของบริษัทเริ่มนิ่งตามอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มนิ่ง
“อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับขึ้นอีกครั้งเดียว แล้วไม่น่าจะมีการปรับขึ้นต่ออีกในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันเราจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเราจะคงไว้ที่ 3.75% เพื่อกระตุ้นตลาดด้วย ซึ่งหากไปขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้เหมือนกับเป็นการทำให้บรรยายกาศเสีย เราจะขึ้นอีกครั้งเดือน ก.ย.แล้วก็จะหยุด เนื่องจากต้นทุนไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วก็คงไม่ขึ้นต่อ”
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปัจจุบันอยู่ที่ 0.19% โดยตั้งเป้าทั้งปีไม่ให้เกิน 0.5% แต่ NPL ในครึ่งปีหลังเริ่มมีสัญญาณเร่งขึ้น ซึ่งเริ่มมีสัญญาณเมื่อเดือนมิ.ย. ที่มี NPL อยู่ที่ 0.16% และเพิ่มเป็น 0.19% ในเดือนก.ค.
"NPL ของบริษัทเริ่มมีสัญญาณเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง เพราะลูกค้ามีภาระเพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ลูกค้ามีรายได้เท่าเดิมแต่บริษัทก็ได้ติดตามดูแลลูกค้าในส่วนนี้อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว"
นายอิสระ ยังกล่าวต่อว่าสำหรับการแข่งขันในปีหน้านั้นบริษัทตั้งเป้าขยายสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามแผนที่ตั้งไว้เนื่องจากบริษัทจะพยายามรักษาฐานลูกค้าในเขตกทม.ให้ได้เหมือนเดิม ขณะเดียวกันบริษัทจะทยอยขยายสาขาไปทั่วภูมิภาค พร้อมทั้งปรับสัดส่วนการทำตลาดต่างจังหวัดกับกรุงเทพฯให้เป็น 50:50 เท่า ๆ กันด้วย จากปัจจุบันที่มีเฉพาะลูกค้าในกรุงเทพฯเท่านั้น โดยเดือนหน้าจะเริ่มเปิดสาขาที่จังหวัดชลบุรีเป็นสาขาแรกในต่างจังหวัด หลังจากนั้นจะทยอยไปในจังหวัดอื่นๆ ต่อ โดยมีแผนเปิดสาขาต่างจังหวัดอยู่ที่ 10 สาขา
“เราแทบจะเปิดสาขาทุกเดือน หรือไม่ก็ 2 เดือนเปิด 1 สาขาหรือ 3 เดือนเปิด 2 สาขา แต่จะเปิดให้ได้ทั่วประเทศ ซึ่งจะสามารถทำให้เราขยายธุรกิจออกไปยังภูมิภาคได้เพิ่มอีกมากขึ้น โดยมีเคแบงก์เป็นบริษัทแม่ ซึ่งเราจะใช้การเปิดสาขาในแบงก์ โดยสำนักงานภาคแรกที่จะเปิดคือจ.ชลบุรี เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่เราเห็นธุรกิจจากตรงนั้นเยอะมาก รวมทั้งเปิดสำนักงานภาคที่สระบุรี นครปฐมด้วย”
ยันเมินใช้กลยุทธ์แข่งลดเงินดาวน์
ส่วนการทำตลาดจากนี้ต่อไปนั้น บริษัทจะไม่ให้ความสำคัญกับการแข่งด้านการลดเงินดาวน์ หรือลดดอกเบี้ย เหมือนที่ตลาดกำลังแข่งขันอยู่ขณะนี้ เพราะจะยิ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้และกลายเป็นเอ็นพีแอลในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังมองว่าในอนาคตบริษัทลีสซิ่งที่ไม่มีธนาคารเป็นฐานเงินทุนจะต้องเปลี่ยนรูปแบธุรกิจในการปล่อยสินเชื่อ โดยหันไปปล่อยรถมือ 2 รถจักรยานยนต์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะปัจจุบันธนาคารขนาดใหญ่ได้หันมารุกธุรกิจลีสซิ่งมากขึ้น
“ทิศทางการแข่งขันหลังจากนี้บริษัทลีสซิ่งต่างๆ จะหันมาลดเงินดาวน์ลงจากปัจจุบันที่ในระบบจะกำหนดเงินดาวน์ที่ 20% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่งจึงคาดว่าไม่น่าจะมีการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ยต่ำอีกแล้ว แต่ลีสซิ่งกสิกรไทยจะไม่เน้นการแข่งขันเงินดาวน์ต่ำ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง”
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าหลังจากที่บริษัทเน้นขยายสินเชื่อไปยังภูมิภาคมากขึ้นเชื่อว่าจะสามารถทำให้พอร์ตสินเชื่อให้ต่างจังหวัดและกทม.ปรับมาอยู่ที่สัดส่วน 60:40 ได้หลังจากได้เปิดสาขาแบบเต็มรูปแบบ และเชื่อว่าจะทำให้บริษัทเติบโตมากขึ้น โดยในปี 50 เชื่อว่าจะสามารถถึงจุดคุ้มทุนได้ โดยวางเป้าหมายว่าในปี 50 จะปล่อยสินเชื่อได้ 22,000 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 33,000 ล้านบาทในปี 51 และ 40,000 ล้านบาทในปี 52 โดยเน้นจับฐานลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย เป็นหลัก
นอกจากนี้ การแข่งขันธุรกิจเช่าซื้อจากนี้ต่อไปหลังจากที่ ธปท.อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถดำเนินธุรกิจเช่าซื้อได้ทำให้หลายสถาบันสนใจทำเองหรือตั้งบริษัทลูกขึ้นมาถือหุ้น 100% นั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากโดยเฉพาะไทยพาณิช์สลิสซิ่งเนื่องจากมีการเปิดดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะนาน มีผลประกอบการที่ดี รวมถึงพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่มากถึง 40,000 ล้าน ขณะที่เคลิสซิ่งเปิดมาได้ 1 ปี โดยหากไทยพาณิชย์ลิสซิ่งบุกตลาดแบบเต็มที่ตามนโยบายของธนาคารไทยพาณิชย์คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของเคลิสซิ่งน่าจะเป็นไทยพาณิชย์ลิสซิ่ง
“แม้แบงก์ไม่เคยทำลิสซิ่ง แต่เราก็มีทีมงานที่เชี่ยวชาญพอสมควร แต่ละคนที่ทำงานเชี่ยวชาญหมดรู้ตลาดหมดไม่ใช่คนมือใหม่ ขณะที่แบงก์มีเงินทุนให้และเป็นคนควบคุมนโยบาย แต่เราเชื่อว่าไทยพาณิชย์ลิสซิ่งเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับเราทั้งการแข่งขันในแง่ของธนาคารพาณิชย์ด้วย”
ธนชาตเชื่อปลายปีการเมืองนิ่ง-สินเชื่อพุ่ง
ด้านนายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดสินเชื่อเช่าของธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยังคงมีอัตราการเติบโตที่สูง โดยมีการขยายตัวถึง 51% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแม้อัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาจะอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีลูกค้าที่สนใจขอใช้บริหารสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่มาก เนื่องจากเมื่อเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึง 1% ทำให้ภาระของผู้กู้เพิ่มขึ้นประมาณ 200-300 บาทต่อเดือนเท่านั้น
"การที่ตัวเลขสินเชื่อของธนาคารธนชาตเติบโตค่อนข้างมากเป็นเพราะว่าได้เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น เพราะมีผู้ให้บริการรายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งที่เป็นธนาคารและบริษัทรถยนต์ต่างๆ รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันแพง การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาทที่ไม่นิ่ง โดยได้เร่งพัฒนาความสัมพันธ์กับดีลเลอร์รถมือหนึ่ง และเต็นท์รถมือสอง การบริการหลังการขาย และการขยายสาขาของธนาคารเพิ่มเป็น 106 สาขาทั่วประเทศ ทำให้ประชาชนเข้าถึงธนาคารได้มากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับที่จูงใจ โดยล่าสุดธนาคารเสนออัตราดอกเบี้ย 3.6% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มนิ่งแล้วคาดว่าจะปรับอีกไม่เกิน 1 ครั้ง"
สำหรับในช่วงครึ่งหลัง คาดว่าจะมีอัตรการขยายตัวใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก แม้ว่าภาวะการเมืองมีผลต่อความรู้สึกของประชาชน แต่หากมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มดีขึ้น อุตสาหกรรมรถยนต์ก็จะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมอื่น โดยพอร์ตของธนาคารส่วนใหญ่ 82% ยังเป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ ที่เหลือเป็นส่วนเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งธนาคารก็มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนของรถยนต์มือสองมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ สาเหตุที่รถยนต์มือสองมีสัดส่วนของสินเชื่อไม่มากเมื่อเทียบรถมือ 1 อาจเป็นเพราะประชาชนสามารถซื้อในราคาเงินสดได้เพราะราคาไม่สูงเกินไป ขณะที่รถยนต์มือ 1 นั้น ประชาชนส่วนใหญ่นิยมเช่าซื้อ
|