|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กระทรวงการคลังอุ้มแบงก์ทหารไทยสุดฤทธิ์ ใช้วิธีการแปลกยอมนำหุ้น อสมท จำนำแบงก์ออมสิน จนถือหุ้นต่ำกว่า 70% แถมแก้กฎสร้างความถูกต้อง คนในวงการเผยมองได้ว่าถังแตกจริงและหากไล่ที่มาที่ไปพบเชื่อมโยงถึงเทมาเส็ก
หุ้นเพิ่มทุน 3,222.39 ล้านหุ้นของธนาคารทหารไทย หรือ TMB ที่เป็นไปตามมติของคณะกรรมการธนาคารที่อนุมัติไว้ตั้งแต่ 10 มีนาคม 2549 ได้ข้อสรุปแล้วว่าทางกระทรวงการคลังจะใช้สิทธิเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ถือในหุ้นสามัญอยู่ 20.88% และถือในหุ้นบุริมสิทธิของ TMB ทั้งหมด หรือเกือบ 2 พันล้านหุ้น ด้วยเงื่อนไข 4.75 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 3 บาทต่อหุ้น ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2549 เบ็ดเสร็จต้องใช้เงินเพื่อรักษาสิทธิในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีการหาเงินมาชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนของกระทรวงการคลัง ที่ดูเหมือนจะเป็นความดิ้นรนอย่างมากในการหาเงินเพื่อมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน จากที่เราเคยเห็นรัฐบาลอัดเงินหลายแสนล้านบาทแจกจ่ายให้กับโครงการต่าง ๆ อย่างไม่ต้องกังวล
แต่ครั้งนี้ถึงกับต้องมีการจำนำหุ้นบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) หรือ MCOT ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 531 ล้านหุ้นหรือ 77.28% ราว 11% เพื่อให้ได้เงิน 3 พันล้านบาท โดยมีธนาคารออมสิน ธนาคารคู่ใจรัฐที่ตอบสนองนโยบายทุกเรื่องได้เป็นอย่างดีทำหน้าที่รับจำนำหุ้น MCOT พร้อมทั้งคิดดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือนอยู่ที่ 5% +1.66% ต่อปี หรือเท่ากับ 6.66% ต่อปี และต้องซื้อคืนใน 3 ปี
ลงทุนจำนำหุ้น
แหล่งข่าวจากวงการธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า แปลกใจเช่นกันว่าทำไมการซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน TMB ของกระทรวงการคลังครั้งนี้จึงค่อนข้างสลับซับซ้อน เพราะที่ผ่านมาหากหุ้นตัวใดที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่หากต้องการเพิ่มทุนก็ไม่เห็นจะต้องใช้วิธีการในลักษณะนี้ ตรงนี้ทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าสาเหตุที่ต้องทำในลักษณะนี้เป็นเพราะผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้มีเงินไม่พอหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่ดีต่อสาธารณชน โดยเฉพาะกับนักลงทุนต่างประเทศ
เพราะที่ผ่านมากระทรวงการคลังประสบปัญหาด้านการเงิน โครงการก่อสร้างบางส่วนยังไม่ได้รับการเบิกจ่าย หรือการเร่งออกพันธบัตรมากขึ้น สอดรับกับความเป็นไปได้ในการจัดเก็บรายได้ โดยเฉพาะภาษีประเภทต่าง ๆ ในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มว่าจะจัดเก็บได้น้อยลง อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนลดลง
"เราไม่ได้บอกว่าวิธีการนี้ไม่ถูกต้อง เอกชนหลายแห่งก็ทำกัน เอาหุ้นไปจำนำไว้กับสถาบันการเงินแล้วเอาเงินออกมาเพื่อนำไปใช้จ่ายตามจุดประสงค์ แต่เราไม่ค่อยเห็นภาครัฐทำในลักษณะนี้ รวมถึงสงสัยต่อไปว่าเหตุใดแบงก์ทหารไทยจึงมีความจำเป็นมากที่รัฐต้องรักษาสัดส่วนไว้ ขณะที่แบงก์ชาติมีแนวคิดที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ถือตามสถาบันการเงินต่างๆ"
TMBโยงเทมาเส็ก
หากย้อนกลับไปเมื่อ 21 มกราคม 2547 ธนาคารทหารไทยเป็นแกนหลักในการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารดีบีเอสไทยทนุกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ IFCT จากเดิมที่ IFCT ถูกวางตัวไว้ให้ควบกับธนาคารไทยธนาคารตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยศึกษาไว้
ในช่วงที่ธนาคารทหารไทยมีปัญหาจนต้องขอรับความช่วยเหลือจากทางการ ต้องทำการเพิ่มทุนครั้งหนึ่งมีชื่อพานทองแท้ ชินวัตร เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TMB แต่ขายออกไปเมื่อไหร่กลับไม่มีรายงาน
ในการควบรวมกิจการทำให้ดีบีเอสแบงก์จากสิงคโปร์ เดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารไทยทนุ กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ที่ 18.48% โดยดีบีเอสนี้ยังร่วมทุนกับกลุ่มชิน คอร์ป ในบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด โดยถือหุ้น 40% ซึ่งหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารดีบีเอส คือเทมาเส็กจากสิงคโปร์ที่ถือหุ้นในธนาคารแห่งนี้ 28%
นอกจากนั้นผู้ถือหุ้นอันดับ 13 บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 1.03% เคยเป็นผู้บริหารเวลาในสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อครั้งที่มีพลเอกชัยสิทธิ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก โดยได้มีข้อครหาเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องอย่างบริษัทฮาวคัม และบริษัท เอส.ที. คอม.ซัพพลาย จำกัด ที่มีคนนามสกุลชินวัตรเป็นผู้บริหาร ขณะที่ผู้เช่าเวลาอื่นถูกปรับตกผังรายการ
จากผิดเป็นถูก
แม้ว่าการขายครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนของกระทรวงการคลังถือหุ้นใน MCOT ต่ำกว่า 70% แต่ก็ได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์ให้หน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต่ำกว่า 70% แทน จะเห็นได้ว่าแม้บางครั้งวิธีการบางอย่างจะขัดต่อกฎเกณฑ์เดิมไปบ้าง แต่รัฐบาลก็สามารถหาทางออกได้เสมอ
คนในวงการไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมกระทรวงการคลังภายใต้รัฐบาลชุดนี้ต้องใช้วิธีการนี้ เพราะเท่ากับต้องจ่ายสูงกว่าราคาซื้อ 3 บาท บวกดอกเบี้ยอีกเกือบ 0.2 บาท แต่หากเทียบกับราคาตลาดที่ 3.40-3.50 บาทก็ยังนับว่ามีส่วนต่างราคา และราคาหุ้นก็มีสิทธิปรับลดลงได้อีกหากหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 3.22 พันล้านหุ้นเข้ามาซื้อขาย ซึ่งนักลงทุนที่ซื้อหุ้นหลังวันที่ 7 มีทางเดียวคือต้องหาจังหวะขายออกไป
ที่สำคัญดีลนี้ถูกวิพากวิจารณ์ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะมีอุปสรรคเรื่องเกณฑ์การถือหุ้นขั้นต่ำของกระทรวงการคลัง แต่รัฐก็ใช้วิธีเลี่ยงแล้วแก้กฎเกณฑ์เพื่อสร้างความถูกต้อง ส่วนจะถูกต้องหรือไม่คงต้องแล้วแต่มุมมองของแต่ละฝ่ายพบเทมาเส็กถืออ้อม-แก้เกณฑ์ถือต่ำ70%
กระทรวงการคลังอุ้มแบงก์ทหารไทยสุดฤทธิ์ ใช้วิธีการแปลกยอมนำหุ้น อสมท จำนำแบงก์ออมสิน จนถือหุ้นต่ำกว่า 70% แถมแก้กฎสร้างความถูกต้อง คนในวงการเผยมองได้ว่าถังแตกจริงและหากไล่ที่มาที่ไปพบเชื่อมโยงถึงเทมาเส็ก
หุ้นเพิ่มทุน 3,222.39 ล้านหุ้นของธนาคารทหารไทย หรือ TMB ที่เป็นไปตามมติของคณะกรรมการธนาคารที่อนุมัติไว้ตั้งแต่ 10 มีนาคม 2549 ได้ข้อสรุปแล้วว่าทางกระทรวงการคลังจะใช้สิทธิเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนที่ถือในหุ้นสามัญอยู่ 20.88% และถือในหุ้นบุริมสิทธิของ TMB ทั้งหมด หรือเกือบ 2 พันล้านหุ้น ด้วยเงื่อนไข 4.75 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคา 3 บาทต่อหุ้น ตามรายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2549 เบ็ดเสร็จต้องใช้เงินเพื่อรักษาสิทธิในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีการหาเงินมาชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนของกระทรวงการคลัง ที่ดูเหมือนจะเป็นความดิ้นรนอย่างมากในการหาเงินเพื่อมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน จากที่เราเคยเห็นรัฐบาลอัดเงินหลายแสนล้านบาทแจกจ่ายให้กับโครงการต่าง ๆ อย่างไม่ต้องกังวล แต่ครั้งนี้ถึงกับต้องมีการจำนำหุ้นบริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) หรือ MCOT ที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 531 ล้านหุ้นหรือ 77.28% ราว 11% เพื่อให้ได้เงิน 3 พันล้านบาท โดยมีธนาคารออมสิน ธนาคารคู่ใจรัฐที่ตอบสนองนโยบายทุกเรื่องได้เป็นอย่างดีทำหน้าที่รับจำนำหุ้น MCOT พร้อมทั้งคิดดอกเบี้ยฝากประจำ 12 เดือนอยู่ที่ 5% +1.66% ต่อปี หรือเท่ากับ 6.66% ต่อปี และต้องซื้อคืนใน 3 ปี
ลงทุนจำนำหุ้น
แหล่งข่าวจากวงการธนาคารพาณิชย์กล่าวว่า แปลกใจเช่นกันว่าทำไมการซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน TMB ของกระทรวงการคลังครั้งนี้จึงค่อนข้างสลับซับซ้อน เพราะที่ผ่านมาหากหุ้นตัวใดที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่หากต้องการเพิ่มทุนก็ไม่เห็นจะต้องใช้วิธีการในลักษณะนี้ ตรงนี้ทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าสาเหตุที่ต้องทำในลักษณะนี้เป็นเพราะผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้มีเงินไม่พอหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่ดีต่อสาธารณชน โดยเฉพาะกับนักลงทุนต่างประเทศ
เพราะที่ผ่านมากระทรวงการคลังประสบปัญหาด้านการเงิน โครงการก่อสร้างบางส่วนยังไม่ได้รับการเบิกจ่าย หรือการเร่งออกพันธบัตรมากขึ้น สอดรับกับความเป็นไปได้ในการจัดเก็บรายได้ โดยเฉพาะภาษีประเภทต่าง ๆ ในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มว่าจะจัดเก็บได้น้อยลง อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยภาคประชาชนลดลง
"เราไม่ได้บอกว่าวิธีการนี้ไม่ถูกต้อง เอกชนหลายแห่งก็ทำกัน เอาหุ้นไปจำนำไว้กับสถาบันการเงินแล้วเอาเงินออกมาเพื่อนำไปใช้จ่ายตามจุดประสงค์ แต่เราไม่ค่อยเห็นภาครัฐทำในลักษณะนี้ รวมถึงสงสัยต่อไปว่าเหตุใดแบงก์ทหารไทยจึงมีความจำเป็นมากที่รัฐต้องรักษาสัดส่วนไว้ ขณะที่แบงก์ชาติมีแนวคิดที่จะลดสัดส่วนการถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่ถือตามสถาบันการเงินต่างๆ"
TMBโยงเทมาเส็ก
หากย้อนกลับไปเมื่อ 21 มกราคม 2547 ธนาคารทหารไทยเป็นแกนหลักในการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารดีบีเอสไทยทนุกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ IFCT จากเดิมที่ IFCT ถูกวางตัวไว้ให้ควบกับธนาคารไทยธนาคารตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทยศึกษาไว้
ในช่วงที่ธนาคารทหารไทยมีปัญหาจนต้องขอรับความช่วยเหลือจากทางการ ต้องทำการเพิ่มทุนครั้งหนึ่งมีชื่อพานทองแท้ ชินวัตร เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ใน TMB แต่ขายออกไปเมื่อไหร่กลับไม่มีรายงาน
ในการควบรวมกิจการทำให้ดีบีเอสแบงก์จากสิงคโปร์ เดิมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารไทยทนุ กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ที่ 18.48% โดยดีบีเอสนี้ยังร่วมทุนกับกลุ่มชิน คอร์ป ในบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด โดยถือหุ้น 40% ซึ่งหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารดีบีเอส คือเทมาเส็กจากสิงคโปร์ที่ถือหุ้นในธนาคารแห่งนี้ 28%
นอกจากนั้นผู้ถือหุ้นอันดับ 13 บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 1.03% เคยเป็นผู้บริหารเวลาในสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เมื่อครั้งที่มีพลเอกชัยสิทธิ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก โดยได้มีข้อครหาเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้องอย่างบริษัทฮาวคัม และบริษัท เอส.ที. คอม.ซัพพลาย จำกัด ที่มีคนนามสกุลชินวัตรเป็นผู้บริหาร ขณะที่ผู้เช่าเวลาอื่นถูกปรับตกผังรายการ
จากผิดเป็นถูก
แม้ว่าการขายครั้งนี้จะทำให้สัดส่วนของกระทรวงการคลังถือหุ้นใน MCOT ต่ำกว่า 70% แต่ก็ได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์ให้หน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต่ำกว่า 70% แทน จะเห็นได้ว่าแม้บางครั้งวิธีการบางอย่างจะขัดต่อกฎเกณฑ์เดิมไปบ้าง แต่รัฐบาลก็สามารถหาทางออกได้เสมอ
คนในวงการไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมกระทรวงการคลังภายใต้รัฐบาลชุดนี้ต้องใช้วิธีการนี้ เพราะเท่ากับต้องจ่ายสูงกว่าราคาซื้อ 3 บาท บวกดอกเบี้ยอีกเกือบ 0.2 บาท แต่หากเทียบกับราคาตลาดที่ 3.40-3.50 บาทก็ยังนับว่ามีส่วนต่างราคา และราคาหุ้นก็มีสิทธิปรับลดลงได้อีกหากหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 3.22 พันล้านหุ้นเข้ามาซื้อขาย ซึ่งนักลงทุนที่ซื้อหุ้นหลังวันที่ 7 มีทางเดียวคือต้องหาจังหวะขายออกไป
ที่สำคัญดีลนี้ถูกวิพากวิจารณ์ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะมีอุปสรรคเรื่องเกณฑ์การถือหุ้นขั้นต่ำของกระทรวงการคลัง แต่รัฐก็ใช้วิธีเลี่ยงแล้วแก้กฎเกณฑ์เพื่อสร้างความถูกต้อง ส่วนจะถูกต้องหรือไม่คงต้องแล้วแต่มุมมองของแต่ละฝ่าย
|
|
|
|
|