Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์14 สิงหาคม 2549
ไออีซีควบรวมบลิส-เทลพลังต่อรอง เชนสโตร์ไทย             
 


   
www resources

โฮมเพจ บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (ไออีซี)

   
search resources

อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง, บมจ.
Mobile Phone
บลิส-เทล, บมจ.
สุมิท แช่มประสิทธิ์




ดีลควบรวมกิจการเชนสโตร์มือถือไทยสำเร็จไปอีกขั้น เมื่อ "ไออีซี" เจรจาซื้อหุ้นจากผู้บริหารคนไทยและสิงคโปร์มูลค่า 252,000,000 ล้านบาท คิดเป็น 24.35% อยู่ในอุ้งมือ เดินหน้าเจรจาซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่จากสหรัฐอเมริกาต่อ คุยช่วยยกมาตรฐานราคา และบริการธุรกิจมือถือ ให้ไออีซีคุมค้าส่ง บลิส-เทลคุมค้าปลีก พร้อมเซ็นเอ็มโอยู "ทีจี โฟน" รวมตัวเป็นเครือข่ายเชนสโตร์มือถือใหญ่ที่สุดในไทย เชื่อปีหน้าคุมส่วนแบ่งตลาด 53%

ในที่สุดข่าวการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือบลิส-เทล ของบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือไออีซี ที่มีกระแสข่าวมานานหลายเดือนได้บทสรุปในส่วนของผู้ถือหุ้นคนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทางไออีซีได้เข้าซื้อหุ้นสามัญจำนวน 56,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 24.35% ของหุ้นจดทะเบียนในราคาหุ้นละ 4.50 บาทคิดเป็นมูลค่ารวม 252,000,000 บาท

ไออีซีได้ทำการซื้อหุ้นสามัญจากผู้ถือหุ้นเดิมจากบริษัท เน็ตเวิร์ค แมแนจเมนท์ โซลูชั่น จำกัด ผู้ถือหุ้นจากประเทศสิงคโปร์จำนวน 35,000,000 หุ้น อรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ จำนวน 8,300,000 หุ้น จงกลนี เขมะจันตรี จำนวน 7,700,000 หุ้น และประกายดาว เขมะจันตรี จำนวน 5,000,000 หุ้น

"การควบรวมธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่างไออีซีกับบลิส-เทล ถือเป็นมิติใหม่และเป็นการพลิกโฉมวงการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากไออีซีและบลิส-เทลต่างก็มีจุดแข็งของตน ถึงแม้ว่าทั้งไออีซีและบลิส-เทลต่างดำเนินธุรกิจที่เหมือนกัน แต่ก็มีจุดแข็งที่ไม่เหมือนกัน ไออีซีมีจุดแข็งทางด้านค้าส่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่วนบลิส-เทลมีจุดแข็งในเรื่องค้าปลีก ซึ่งการควบรวมกันในครั้งนี้ทำให้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่แข็งแกร่งมากขึ้น ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งผู้บริโภค ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น" สุมิท แช่มประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสาเหตุของการควบรวมกิจการระหว่างไออีซีกับบลิส-เทล

สุมิทยังได้ให้รายละเอียดถึงประโยชน์ที่เกิดจากซื้อหุ้นในบลิส-เทลว่า สิ่งที่ผู้บริโภคจะได้เป็นเรื่องของการกำหนดราคาสินค้าที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานราคาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันได้ ซึ่งแต่เดิมต่างฝ่ายต่างก็มีการกำหนดราคาที่ไม่เหมือนกัน

มาตรฐานการให้บริการเป็นอีกจุดหนึ่งที่จะเป็นผลพวงของการซื้อหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งสุมิทบอกว่า ไออีซีถือเป็นผู้นำในด้านบริการหลังการขาย เป็นบริษัทแรกที่มีการรับประกันโทรศัพท์เคลื่อนที่นาน 5 ปี เมื่อควบรวมธุรกิจกันมาตรฐานการให้บริการหลังการขายของบลิส-เทลก็จะเทียบเท่ากับไออีซี เมื่อปริมาณลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ก็จะส่งผลให้บริษัทอื่นๆ ต้องปรับปรุงบริการหลังการขายให้เทียบเท่าหรือดีกว่า ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน

อรรถวิชญ์ เอกธนิตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ประโยชน์ที่มีต่อ 2 บริษัทนำไปสู่การรวมกันของคลังสินค้า ระบบโลจิสติก ระบบศูนย์ข้อมูลลูกค้าและระบบบริการหลังการขายที่จะมีใช้งานร่วมกัน ซึ่งเป็นการประหยัดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจลดลง ทำให้ผลกำไรของทั้งสองบริษัทเพิ่มขึ้น

"แทนที่จะมีระบบคลังสินค้า โลจิสติกส์แยกจากกัน แต่การควบรวมครั้งนี้จะทำให้การส่งสินค้า ระบบคงคลังถูกรวมเข้าด้วยเป็นหนึ่ง เวลากระจายสินค้าก็ทำเพียงครั้งเดียวก็กระจายได้ทั่ว และยังสามารถโยกสต๊อกสินค้าระหว่างชอปได้อีกด้วย"

สำหรับยุทธศาสตร์ของการควบรวมกิจการในครั้งนี้ ทางอรรถวิชญ์อธิบายให้ฟังว่า ชอปของไออีซี และชอปของบลิส-เทลก็จะยังคงไว้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่า จะมีการโยกส่วนงานค้าปลีกของไออีซีมาโฟกัสที่บลิส-เทลแทน ส่วนงานด้านค้าส่งของบลิส-เทลก็จะย้ายบทบาทไปอยู่ที่ไออีซี ซึ่งจะทำให้ไออีซีโฟกัสงานทางด้านค้าส่งที่เป็นจุดแข็งเป็นหลัก และบลิส-เทลดูงานด้านค้าปลีกเป็นหลักแทน

ส่วนแบรนด์โพซิชันนิ่งนั้นได้มีการปรับให้ "โมบาย อีซี่" ของไออีซีที่มีอยู่ในปัจจุบัน 228 ชอปเป็นชอปที่โฟกัสไปยังบิสซิเนสโฟน สมาร์ทโฟนเป็นหลัก ส่วน "บลิส-เทลชอป" ที่มีอยู่ขณะนี้ 278 ชอป ในปัจจุบันโฟกัสการขายไปที่แฟชั่นโฟน โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีดีไซน์ และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งไออีซีและบลิส-เทลได้มีการลงนามร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัท ทีจี เซลลูลาร์ เวิลด์ จำกัด ซึ่งมีชอปค้าปลีกโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์ "ทีจี โฟน" ที่มีอยู่ประมาณ 88 แห่งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรค้าปลีกโทรศัพท์ โดยได้กำหนดให้ "ทีจีโฟน" เป็นชอปที่โฟกัสตลาดที่เป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วไปหรือเบสิกโฟน

"ทำให้เครือข่ายชอปของเรามีขนาดที่ใหญ่ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่จะทำให้เกิดอำนาจต่อรองราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่กับผู้ผลิตเครื่องจนสามารถสร้างมาตรฐานราคาได้ คาดว่าจะทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นจาก 5.5-6% ขยับขึ้นมาได้อีกประมาณ 1% ซึ่งทำให้ร้านค้าปลีกที่ขายโทรศัพท์มือถือรายเล็กสามารถอยู่ในธุรกิจนี้ได้"

ประกายดาว เขมะจันตรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า การควบรวมครั้งนี้จะไม่ทำให้ผู้บริโภคเสียเปรียบและไม่ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่แพงขึ้นแน่นอน เนื่องจากยังมีผู้ค้าปลีกจำนวนมากที่ร่วมแข่งขัน ประกอบกับมาร์จิ้นที่สูงขึ้นของผู้ค้าจะไปบีบราคาขายจากผู้ผลิตเครื่องให้ลดลง

อรรถวิชญ์ยังบอกถึงจุดแข็งของการควบรวมในครั้งนี้อีกประการหนึ่งว่า เราเชื่อว่าในปีหน้าเมื่อรวมส่วนแบ่งทางการตลาดของทั้งสามแหล่งแล้วจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 53% ขึ้นอยู่กับขนาดตลาดในเวลานั้นด้วย ซึ่งคงเป็นการยากที่จะบอกว่า ปีหน้าจะมีขนาดตลาดประมาณเท่าไร ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ปัจจุบันบลิส-เทลชอปมีส่วนแบ่งในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ประมาณ 400,000 เครื่อง โมบาย อีซี่ ประมาณ 1,180,000 เครื่อง และทีจี โฟน ประมาณ 450,000 เครื่อง รวมกันประมาณ 2,000,000 เครื่อง

"เชื่อว่ายอดขายรวมทั้งสามบริษัทในปีนี้น่าจะมากกว่า 15,000 ล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายทางด้านสัดส่วนหุ้นที่ทางไออีซีมองเอาไว้อยู่ที่ตัวเลข 40% ของหุ้นสามัญทั้งหมดในบริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) โดยมีความตั้งใจในเบื้องต้นที่จะนำยอดขายของบลิส-เทลที่มีอยู่ประมาณ 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปี มาคำนวณรวมกับงบการเงินของไออีซี

การเดินทางของไออีซีในครั้งนี้สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว ด้วยจำนวนหุ้น 24.35% ในส่วนของคนไทย ไออีซียังจะต้องเดินหน้าขอซื้อหุ้นใหญ่จากบริษัท ออดิโอวอกซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 13.04% ถึงจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ซึ่งจะเป็นเมื่อไรนั้น คงจะต้องจับตาดูดีลการควบรวมครั้งนี้แบบห้ามกะพริบตา หากผลออกมาในทางบวก ราคาหุ้นของไออีซีคงจะเด่นขึ้นมาอีกครั้งในกระดานซื้อหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us