10 กว่าปีก่อน ชาตรี โสภณพนิช ได้ทำให้เจ้าสัวชิน ประมุขแห่งตระกูลสามารถวางมือจากธุรกิจอย่างวางใจในอภิชาตบุตรคนนี้
ด้วยตัวเลขความเติบโตอย่างรุดหน้าที่ทำให้แบงก์บัวหลวงยังคงครองความเป็นที่
1 มาตลอด แต่มาถึงวันนี้ ทายาทรุ่นที่ 3 ของบัวหลวงที่ชื่อว่า ชาติศิริ จะสามารถทำได้อย่างเดียวกันหรือไม่
เมื่อเขามิได้เพียงแค่ต้องฟาดฟันกับคู่แข่งทางธุรกิจ แต่ยังต้องสร้างความเชื่อมั่นให้คนรอบข้างด้วยว่า
"วัย" มิใช่ปัญหา เพราะสมรภูมิธุรกิจธนาคานั้น เขาสู้กันด้วยปัญญา
และขุนพล
เศรษฐกิจไม่ดีหรือโทนี่มือไม่ถึง
ถ้าจะพิจารณาทิศทางการขยายตัวของแบงก์กรุงเทพในยุคที่ 3 ภายใต้การบริหารงานของทีมงานคนหนุ่มรุ่นใหม่อย่างชาติศิริ
โสภณพนิช และขุนพลคู่ใจอย่าง ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตมือดีจากแบงก์ชาติ ก็น่าจะเห็นแววรุ่งโรจน์ของการทำธุรกิจเชิงรุกได้เป็นอย่างดี
เช่น การได้ใบอนุญาตบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภายใต้การนำของ ดร.พิสิฐ
แต่แล้วผลการดำเนินงานของธนาคารกรุงเทพ สถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปรากฏว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2539 นั้นตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี โดยสินเชื่อขยายตัวแค่เพียง
7.9% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15%
ผลประกอบการปี 2538 ของธนาคารกรุงเทพมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 5,446.51 ล้านบาท
มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 5.46 บาท มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเพียง 7.29% ขณะที่แบงก์อื่น
ๆ มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ 12-13%
เมื่อพิจารณาเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา คือ ปี 2537 ธนาคารกรุงเทพมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ
7.27% มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 5.09 บาท ซึ่งอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรสุทธิในแบงก์อื่นเฉลี่ยประมาณ
10-11% เห็นได้ว่าอัตราการเติบโตของปี 2537 กับ 2538 ของ BBL นั้นนับว่าน้อยมาก
ขณะที่แบงก์อื่นจะโตขึ้นเยอะกว่ามาก
ในเรื่องนี้ ชาติศิริ โสภณพนิช หรือโทนี่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
การที่ผลการดำเนินงานของธนาคารกรุงเทพออกมาไม่ดีมีสาเหตุมาจากความซบเซาของเศษรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
รวมทั้งเศรษฐกิจโลกก็ไม่ค่อยดี
ในขณะที่แบงก์บัวหลวงกำลังถดถอยเข้าสู่มุมอับ แต่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์
และธนาคารทหารไทยกลับมีอัตราการขยายตัวของสินเชื่อสูงอย่างน่ากลัว โดยแบงก์กรุงไทยไตรมาสที่สองของปีนี้
สินเชื่อขยายตัวสูงถึง 21% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์สินเชื่อขยายตัวถึง 28% และธนาคารทหารไทยสินเชื่อขยายตัว
24% เมื่อเทียบกับแบงก์กรุงเทพที่สินเชื่อขยายตัวเพียง 7.9% แล้วแทบจะเทียบกันไม่ได้เลย
ทั้ง ๆ ที่ชาตรีเคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นไปได้นับจากนี้ต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้า
จะพยายามให้ธนาคารมีอัตราการขยายตัวถัวเฉลี่ยต่อเนื่องประมาณปีละ 15-20%
ทุกปี
ทั้ง ๆ ที่ธนาคารกรุงเทพมีสาขามากที่สุด เพราะมีสาขาถึงเกือบ 500 สาขา แบ่งเป็นสาขาในประเทศประมาณ
460 สาขา และต่างประเทศ 22 สาขา กับสำนักงานตัวแทนที่ปักกิ่ง และเฉินตู และที่กำลังจะเปิดอีก
1-2 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นธนาคารที่มีสาขามากที่สุดทั้งใน และต่างประเทศ
เมื่อมีสาขามากมายขนาดนี้ โดยการทำธุรกิจปกติแล้ว ธนาคารกรุงเทพน่าจะมีปริมาณลูกค้ามากกว่าธนาคารอื่น
ๆ แต่ทำไมจึงสวนทาง ?
ในเรื่องนี้ขุนพลคู่ใจอย่าง ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม เคยออกมาให้เหตุผลว่า โดยความเป็นจิรงแล้ว
ระยะ 1-2 ปีมานี้การที่ธนาคารกรุงเทพโตในอัตราที่ลดลงนั้น ด้านหนึ่งเป็นความตั้งใจของผู้บริหารด้วยเนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจในภาพรวมซบเซา
"เราอยากจำกัดตัวเองให้โตในอัตราที่ลดลง คือ แต่ละปีให้โตเฉลี่ยอยู่ที่
8-9% คือ โตอย่างมั่นคงเพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องสินเชื่อ ถ้าไม่มั่นใจเราจะไม่ปล่อย
เราไม่อยากมีปัญหากับหนี้เสียแล้วมาตามแก้ปัญหากันภายหลัง ทำแบบนี้เราสบายใจทำงานได้ง่ายกว่า"
ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงเทพท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ระยะ 2-3 ปีมานี้
ธนาคารจะไม่ให้สินเชื่อในโครงการประเภทที่อยู่อาศัย หรือโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ที่มีข่าวว่ามีปัญหา
เพราะโครงการประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง ธนาคารจะเน้นปล่อยกู้ในอุตสาหกรรมประเภทพลังงาน
หรือไฟฟ้ามากกว่า เพราะพิจารณาแล้วว่ามีความเสี่ยงน้อยและมีอัตราการเติบโตสูง
"มีบาทธนาคารที่อัตราการเติบโตสูง เพราะมุ่งปล่อยในโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่
แต่โครงการพวกนี้ล้วนมีปัญหา" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
ก่อนหน้าที่ชาติศิริ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เขาเคยถูกสบประมาทจากแวดวงนักธุรกิจว่า
ยังเยาว์วัยเกินไปนัก อีกทั้งขาดประสบการณ์ในการบริหารองค์กรขนาดใหญ่ การก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งบริหารของเขานั้นกลายเป็นข้อห่วงกังวลของนายแบงก์ด้วยกัน
จนมีเสียงสะท้อนจากนักการเงินการธนาคารหลายคนกล่าวว่า การที่ปล่อยให้ผู้นำที่ขาดประสบการณ์
เข้าควบคุมอำนาจการบริหารองค์กรขนาดใหญ่จะนำพาองค์กรไปสู่จุดเสื่อมถอยหรือไม่
เพราะความยิ่งใหญ่ของธนาคารกรุงเทพวันนี้ เปรียบได้กับไม้ใหญ่ที่ต้องต้านลมอยู่ตลอดเวลา
ลำพังแค่แบงก์เก่าที่มีอยู่ 15 รายแถมแบงก์ใหม่ที่จะเกิดอีก 3 ราย แล้วยังมีคู่แข่งซึ่งเป็นสาขาของธนาคารต่างประเทศที่จะเข้ามาเปิดตามเงื่อนไขของการเปิดเสรีทางการเงินนั่นอีกเล่า
การฝ่าฟันเพื่อครองความเป็นอันดับ 1 และรักษาไว้ให้ยั่งยืนท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรง
นับต่อจากนี้ไปจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชาติศิริ การเปลี่ยนผ่านอำนาจของโสภณพนิช
จากรุ่น 2 สู่รุ่นที่ 3 ของชาติศิริ คงหนักอึ้งยิ่งกว่าเมื่อครั้งการเปลี่ยนมือระหว่างชินมาสู่ชาตรีมากมายหลายเท่านัก
เมื่อครั้งที่ชาตรีก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ในปี 2523 ขณะนั้นแบงก์กรุงเทพมีสินทรัพย์รวมประมาณ
1.2 แสนล้านบาท มีเงินฝากประมาณ 9 หมื่นล้านบาท มีสำนักงานสาขา 244 แห่ง
และมีทุนจดทะเบียนเพียง 1,650 ล้านบาท
มาจนถึงปัจจุบันแบงก์กรุงเทพมีสินทรัพย์รวมกว่า 1.05 ล้านล้านบาท มีเงินฝากรวมไม่น้อยกว่า
7.7 แสนล้านบาท มีสาขาทั้งใน และต่างประเทศรวมกันเกือบ 500 สาขา และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
1 หมื่นล้านบาท
ถือว่าเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุก ๆ ด้านประมาณเกือบ 10 เท่าตัวในช่วง
10 กว่าปีที่ผ่านมา และเป็นการก้าวกระโดดซึ่งมีอัตราการเติบโตที่สูงมากสำหรับกิจการธนาคารพาณิชย์
แต่มาถึงสมัยของชาติศิรินั้นถือว่าคงวัดกันยาก เนื่องจากโทนี่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้เพียง
2 ปี แถมเป็น 2 ปีที่แหล่งข่าววงในยืนยันว่ายังไม่ได้อำนาจบริหารเต็มที่
งานหรือโครงการใหญ่ชาตรียังเป็นผู้ดูแลเอง
"ถ้าจะวัดผลงานของคุณโทนี่ ถ้าจะให้เห็นรูปธรรมชัดเจนคงต้องรออีกอย่างน้อย
2-3 ปี ตอนนี้ยังไม่เห็นภาพแน่ชัด"
ถึงเวลาของนักสู้หน้าหยก
ในยุคของชาติศิริ โสภณพนิช เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพถือเป็นช่วงรอยต่อไปสู่รุ่นที่
3 ของธนาคารกรุงเทพ เป็นการส่งไม้มาระหว่างรุ่นที่ 2 คือ ชาตรี ผู้พ่อที่กำลังจะเกษียณอายุลงในอีก
2 ปีข้างหน้ามาสู่คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้สูง แต่อาจจะด้อยกว่าในเรื่องประสบการณ์
ก่อนหน้านี้ ในสมัยที่ ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ
เขาเคยตั้งเป้าหมายเป็น "ธนาคารแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค" ด้วยคุณภาพระดับโลกภายใต้กลยุทธ์คุณภาพ
SMILE อันประกอบไปด้วย SERVICE, MANAGEMENT, IMAGE, LENDING และ EMPLOYEE
นอกจากนโยบายข้างต้นที่ชาติศิริสานต่อมาเป็นนโยบายจนถึงปัจจุบันนี้ อีกนโยบายหนึ่งที่
ดร.วิชิต เคยกรุยทางไว้ คือ พยายามใช้สาขาต่างประเทศทำธุรกิจในเชิงรุก ซึ่งชาติศิริก็มาทำให้ภาพนั้นชัดเจนได้ในสมัยที่ตนเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่
และสร้างรายได้ให้มากทีเดียว ถือว่าสาขาต่างประเทศขณะนี้เป็นสายงานดาวรุ่งที่น่าจับตามองไม่น้อย
ล่าสุด ธนาคารกรุงเทพประกาศยึดหัวหาดทำธุรกิจแบงก์ในจีน เนื่องจากเล็งเห็นว่า
จีนมีศักยภาพในการขยายตัวได้สูงทางด้านเศรษฐกิจ โดยตั้งเป้าเปิดสาขาและสำนักงานตัวแทนให้ครอบคลุมทั่วประเทศจีน
จากปัจจุบันที่มีสาขาที่ซัวเถา เซี่ยงไฮ้ และสำนักงานตัวแทนที่ปักกิ่ง และเฉินตู
รวมทั้งจะขอเปิดสำนักงานตัวแทนที่ฮกเกี้ยน และเซียะเหมิน ในปลายปีนี้หรืออย่างช้าต้นปีหน้า
โดยใช้สาขาที่ซัวเถา และฮ่องกง เป็นศูนย์กลางในการดูแลสาขาในภูมิภาคแถบมาเลเซีย
อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
สาขาต่างประเทศของธนาคารกุรงเทพมีผลการดำเนินงานที่ถือว่าประสบความสำเร็จมาก
ในปีที่ผ่านมาสามารถทำกำไรได้ทั้งสิ้นกว่า 1.7 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีก
65% จากปี 2537 คิดเป็นเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้น 689 ล้านบาท โดยมียอดคงค้างเงินฝาก-สินเชื่อเติบโตในอัตรากว่า
40% หรือว่าสามารถทำรายได้ให้ถึง 15% ของรายได้รวมของธนาคาร
ด้านตัวเลขเงินฝากของสาขาต่างประเทศ ปรากฏว่า มียอดคงค้างทั้งสิ้น 90,865
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2537 เป็นจำนวน 25,495 ล้านบาท ขณะที่ด้านสินเชื่อมียอดคงค้างทั้งสิ้น
83,920 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2537 จำนวน 24,118 ล้านบาท หรือเกือบ
40% ซึ่งสายงานสาขาต่างประเทศของธนาคารเป็นสายงานที่เชิดหน้าชูตาให้กับธนาคารได้เป็นอย่างดี
และสายงานนี้ขึ้นตรงกับชาติศิริ
นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมตั้งธนาคารท้องถิ่นในพม่าโดยขอถือหุ้น 80% ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่จะเสริมรายได้ให้กับธนาคารได้เป็นอย่างดี
การตัดสินใจบุกเบิกขยายสาขาในต่างประเทศจึงเป็นวิธีการใช้เส้นเลือดฝอยหล่อเลี้ยงลำต้นที่ยอดเยี่ยม
เนื่องจากในวันนี้ มันคือโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง เพราะธนาคารกรุงเทพบุกเบิกสาขาต่างประเทศตั้งแต่สาขาแรกจนวันนี้กินเวลากว่า
20 ปีแล้วในขณะที่ธนาคารอื่นเพิ่งเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสาขาในต่างประเทศในเชิงการทำธุรกิจ
เพื่อเป็นแหล่งรายได้ให้สำนักงานใหญ่ ซึ่งโดยส่วนมากยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
พัลลภ โศภิษฐ์พงศธร รองผู้จัดการกิจการธนาคารต่างประเทศ กล่าวกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
ว่า ธนาคารมีความได้เปรียบในเรื่องนี้ เพราะเป็นผู้เข้าไปบุกเบิกก่อนจะได้เปรียบเรื่องฐานลูกค้าที่มีความสัมพันธ์กันมายาวนาน
สาขาในต่างประเทศนอกจากจะทำให้ธนาคารสามารถขยายธุรกิจด้านต่างประเทศได้อย่างรวดเร็วแล้ว
ยังเป็นเส้นทางลำเลียงเม็ดเงินต้นทุนต่ำผ่านเข้ามายังสาขาใหญ่ได้อย่างคล่องแคล่ว
ในบางขณะก็ใช้เป็นแหล่งถ่ายเทเงินฝากในประเทศที่เกินความต้องการไปปล่อยกู้ในต่างประเทศ
ทำให้ธนาคารได้เปรียบในเชิงการแข่งขันและสามารถทำกำไรได้มาก
อังเดรเงาที่ซ้อนทับภาพของโทนี่
ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรบัวหลวง ที่ยืนยงมาได้จนถึงทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า
ส่วนสำคัญมาจากความสามารถของบุคลากรบวกกับความเก่งกาจในการจัดสรร "คน"
ของเจ้าสัวชาตรี หรืออังเดร
แม้ว่าขณะนี้เจ้าสัวชาตรี จะเปิดทางให้บุตรชายคนโต คือ ชาติศิริ ซึ่งถูกมองว่ายังอ่อนประสบการณ์ในการบริหารองค์กรใหญ่เข้ามาทำงานอย่างเต็มตัว
แต่เขาก็ทราบดีว่าชาติศิริยังขาดประสบการณ์อยู่มากขณะที่หน้าที่ความรับผิดชอบมีมหาศาล
และอาจจะเกินกำลัง ดร.พิสิฐ ขุนพลคู่ใจของชาติศิริก็เคยกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจว่า
"งานที่คุณชาติศิริจะต้องรับผิดชอบต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้เป็นภาระที่หนักมาก
แค่รักษาความเป็นหนึ่งขององค์กรไว้ให้ยั่งยืนนั่นก็เป็นเรื่องท้าทายมากอยู่แล้ว"
การถ่ายโอนอำนาจจากอังเดรสู่โทนี่จึงเต็มไปด้วยกลยุทธ์ในการบริหาร นับแต่ชาตรีได้ตั้งคณะกรรมการกำกับขึ้นมาชุดหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อตัวเอง
โดยทำหน้าที่ในการติดตามกำกับดูแลและให้คำปรึกษาตลอดจนกำหนดนโยบายทางด้านต่าง
ๆ ของธนาคาร ขณะที่ชาตรีก็กำหนดจังหวะก้าวลงจากหลังเสือของตัวเอง ด้วยการเกษียณตัวเองในอีก
2-3 ปีข้างหน้า จนมีเสียงกล่าวกันว่าคณะกรรมการฯ ชุดที่ชาตรีตั้งอาจจะยังเป็นเงาที่ทาบทับผู้บริหารรุ่นใหม่ของธนาคาร
นอกเหนือจากชาตรีจะเกษียณตัวเองแล้ว ยังมีระดับขุนพลคู่ใจที่จะเกษียณอายุพร้อม
ๆ กันอีกราว 4 คน คือ ดำรง กฤษณามระ รองประธานกรรมการบริหาร, ปิติ สิทธิอำนวย
รองประธานกรรมการบริหาร, เดชา ตุลานันท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และธรรมนูญ
เลากัยกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่มีความสามารถ
และเป็นกำลังสำคัญหลักในการบริหารงานในยุคที่ชาตรีเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ต่อเนื่องมาถึงยุคของชาติศิริ
ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3
การวางตัวบุคคลระดับมันสมองที่จะเข้ามาเป็นขุนพลและขุนศึกคู่บัลลังก์ชาติศิริ
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทิศทางของธนาคารกรุงเทพในอนาคต ซึ่งธนาคารกรุงเทพดูเหมือนจะเป็นบริษัทเอกชนเพียงแห่งเดียวที่มีคนระดับมันสมองของประเทศมารวมตัวกันอยู่มากที่สุด
สำหรับทีมบริหารชุดใหม่ที่ธนาคารจะนำมาทดแทนนั้น ชาตรีเคยกล่าวไว้ว่าจะเป็นคนภายในที่เลื่อนตำแหน่งขึ้นมา
และธนาคารได้ส่งไปอบรมเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งคนนอกที่มีความสามารถบริหารงานด้านธนาคารได้อย่างเชี่ยวชาญ
หลังจากที่ได้สร้างทีมบริหารรุ่นใหม่ขึ้นมาแล้ว ชาตรีบอกว่าผู้บริหารชุดเก่าจะยังคงมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาให้กับธนาคารต่อไป
แต่ถ้าหากว่าธนาคารยังไม่สามารถหาคนที่เหมาะสมมาทำหน้าที่แทนทีมบริหารชุดเดิมได้ทั้งหมด
ทีมบริหารเดิมจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป
แหล่งข่าววงในท่านหนึ่ง ระบุว่า เบื้องหลังความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของธนาคารกรุงเทพมาจากคุณภาพของทีมผู้บริหารระดับสูง
ซึ่งผสมผสานระหว่างคนรุ่นใหม่ที่เพียบพร้อมด้วยความรู้และบุคลากรอาวุโสผู้มากประสบการณ์
อำนาจของชาติศิริและชาตรี จึงคาบเกี่ยวในลักษณะของภาพเชิงซ้อน เพราะจะว่าไปแล้วชาติศิริยังไม่ได้มีอำนาจอย่างเต็มที่
การจะตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ ยังคงต้องคอยสบตาผู้เป็นพ่ออยู่ก่อนเสมอ
ชาตรีใช้เวลานานถึง 20 กว่าปีกว่าจะมาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร
โดยได้เรียนรู้งานจากบุญชู โรจนเสถียร ที่ถือว่าเป็น "ซาร์แห่งเศรษฐกิจ"
มาก่อน ประสบการณ์ตลอดจนวัฒนธรรมองค์กรจึงมีอยู่ในตัวชาตรีอย่างเต็มล้น ดังนั้น
ในยุคของชาตรีเองจึงมีประสบการณ์มากพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองในเรื่องที่สำคัญ
ๆ
ส่วนชาติศิริ ใช้เวลาในการก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ด้วยเวลาไม่ถึง
10 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่สั้นมากเมื่อเทียบกับชาตรีในการแก้ปัญหา ความสามารถในการสร้างสายสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ตลอดจนการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ ๆ จึงยังไม่เข้มข้นเมื่อเทียบกับพ่อ
มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินท่านหนึ่งเคยวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบระหว่างทายาทรุ่นที่
3 ของธนาคารกรุงเทพ คือ ชาติศิริ กับทายาทรุ่นที่ 2 ของธนาคารกสิกรไทย คือ
บัณฑูร ล่ำซำ ว่า ชาติศิริดูเหมือนจะอ่อนชั้นเชิงกว่าหลายขุม อีกทั้งการก้าวขึ้นมาของโทนี่ด้วยวัยเพียง
30 กว่า ๆ นั้นก้าวเร็วเกินไป เพราะธนาคารกรุงเทพเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่มากต้องใช้ประสบการณ์ทางด้านการเงินอย่างมากในการบริหารงาน
"แต่ถ้ามีขุนพลคู่ใจดี ๆ คอยช่วยกันก็คงไปได้ดี อย่าง ดร.พิสิฐ จากแบงก์ชาตินั่นก็เป็นคนมีฝีมือไม่น้อยทีเดียว
แล้วยังมีคนอื่น ๆ ร่วมทีมอีก 10 กว่าคนคงไม่น่าห่วงเท่าใดนัก"
ขุนพลรุ่นที่ 3 ชุดดรีมทีม
สำหรับคนรุ่นใหม่ ๆ ที่คาดว่าจะขึ้นมาแทนทีมที่ปรึกษาชุดเก่านั้นมีการมอง
ๆ กันไว้บ้างแล้ว ซึ่งชาตรีได้เคยเกริ่น ๆ ให้ฟังว่า "ที่มอง ๆ ไว้ก็เช่น
คุณธีระ อภัยวงศ์ ที่ดูแลเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีของธนาคารจะขึ้นมาแทนที่คุณดำรง
แต่ก็ต้องอาศัยการฝึกฝนและเสริมการบริหารงานส่วนอื่น ๆ เพิ่มเข้าไปด้วย"
นอกจากนี้ ทางธนาคารก็ได้ส่งสาธิต อุทัยศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ไปอบรมหลักสูตรผู้บริหารระยะสั้นด้านการบริหารที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
หลังจากที่ธนาคารได้จัดโครงสร้างและปรับทีมบริหารใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วประมาณต้นปี
2542 ชาตรีบอกว่าธนาคารจะมุ่งขยายตัวทางด้านกำไรอย่างจริงจัง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทดแทนจากการที่ธนาคารได้หันไปปรับปรุงด้านบุคลากรและองค์กร
รวมทั้งธนาคารมีแผนที่จะเปิดบริษัทวิจัย เพื่อเป็นการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลอีกด้วย
ทั้งหมดเป็นการเปิดไฟเขียวของชาตรี เนื่องจากทราบดีว่าสิ้นยุคของเขาเมื่อไหร่
ถ้าธนาคารกรุงเทพยังไม่มีกุนซือรุ่นใหม่ที่เฉียบพอเอาไว้ช่วยงาน อนาคตของธนาคารในระยะยาวมีปัญหาแน่
ชาตรีเองเคยกล่าวอย่างภูมิอกภูมิใจในลูกชายคนโตว่า "โทนี่เขาสร้างคนได้เก่งกว่าผม
ตั้งแต่คุณวิชิต ออกจนถึงปัจจุบันเขาได้คนมาถึง 20 คน ถ้าเขารู้จักชวนคนดีมีความสามารถมาทำงาน
ผมว่า 10 ปีข้างหน้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็น คือ
ต้องหาคนที่เข้ามารองรับในช่วงเตรียมงาน หลายคนที่เขานำเข้ามาผมพอใจมาก"
ดังนั้น แม้ว่าชาติศิริจะถูกมองว่าอ่อนหัด แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดอ่อนของธนาคารแต่ประการใด
เพราะคนทำงานคือมันสมองจากผู้เชี่ยวชาญข้างกายที่มีอยู่อย่างมากมายนั่นเอง
และในปัจจุบันถึงแม้ชาตรีจะเริ่มวางมือเพื่อให้เด็กรุ่นลูกอย่างชาติศิริได้มีโอกาสเข้ามารับผิดชอบงานมากขึ้น
แต่อำนาจในการกำหนดนโยบายทั้งระยะสั้นและยาวยังอยู่ในมือของชาตรีและขุนพลรุ่นเก่าอยู่
นอกจากนี้ ข่าววงในยังระบุชัดเจนว่า เรื่องสำคัญ ๆ ยังต้องผ่านมือของเจ้าสัวชาตรีอยู่นั่นเอง
ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยกู้ให้กับโครงการขนาดใหญ่อย่างโฮปเวลล์ หรือลูกหนี้รายใหญ่อย่างยูนิคอร์ด
หรือแม้แต่โครงการปล่อยสินเชื่อในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ๆ นั้น ชาติศิริผู้ลูกไม่เคยเยี่ยมกรายเข้ามาดูเลย
ความยิ่งใหญ่ของธนาคารกรุงเทพคงเกิดขึ้นเองตามลำพังไม่ได้ ทุกย่างก้าวเกิดขึ้นมาจากการปูทางของบรรดาเจ้าสัวรุ่นก่อน
ๆ โดยเฉพาะคุณปู่รุ่นที่ 1 อย่างชิน โสภณพนิช ต้นตระกูลที่สร้างรากฐานให้โสภณพนิชในวันนี้ได้ชื่อว่า
เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศติดต่อกันมานานหลายทศวรรษ 10 กว่าปีก่อน
ชาตรีได้แสดงให้เจ้าสัวชิน เห็นแล้วว่าตนเป็นอภิชาตบุตร และคราวนี้ก็มาถึงรุ่นหลานอย่างชาติศิริ
ว่าจะเป็นอภิชาตบุตรได้หรือไม่ และจะป้องกันแชมป์ทางธุรกิจไว้ได้อย่างไร
เวลาคงเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ที่ชาติศิริหรือมันสมองที่อยู่รอบกายเขารู้ดีก็คือ
ภารกิจข้างหน้านั่น เป็นเรื่องที่หนักหน่วงและหนทางต่อไปก็คงไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ