แผ่นดินทองรับอานิสงส์รายได้ขายอสังหาฯ-ค่าเช่างวดครึ่งปีเพิ่มขึ้น รวมรายได้ 1,805.328 ล้านบาท โดยรายได้การขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้น 90% มีรายได้อยู่ที่ 1,566 ล้านบาท โดยโครงการอินฟินิตี้มียอดรับรู้รายได้ถึง 425 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมครึ่งปีพลิกขาดทุนสะสมจาก 119 ล้านบาท เป็นกำไรสะสมถึง 46 ล้านบาท
นายวันชัย ศรีหิรัญรัศมี กรรมการบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2549 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ในไตรมาส 2 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีผลขาดทุนสุทธิ 45 ล้านบาท ในส่วนงวดครึ่งปี (สิ้นสุด 30 มิ.ย.) บริษัทมีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีผลขาดทุนสุทธิ 47 ล้านบาท ซึ่งจากการที่บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้ผลขาดทุนสะสมของบริษัท ณ สิ้นปีที่ผ่านมา จำนวน 119 ล้านบาท เปลี่ยนเป็นกำไรสะสม ณ ครึ่งแรกของปี 49 จำนวน 46 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวม 809.562 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันที่มีรายได้รวม 452.270 ล้านบาท โดยไตรมาสนี้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 686.85 ล้านบาท (ช่วงเดียวกันของปี 48 อยู่ที่ 343.059 ล้านบาท) ขณะที่งวดครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวม 1,805.328 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 48 รายได้รวม 1,029.921 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จำนวน 1,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 744 ล้านบาท คิดเป็น 90% โดยมีการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์จากโครงการอินฟินิตี้จำนวน 425 ล้านบาท จากโครงการโกลเด้น นครา 150 ล้านบาท และจากโครงการแกรนด์ โมนาโค 122 ล้านบาท ขณะที่บริษัทยังมีรายได้จากการเช่าและบริการจำนวน 198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2548 เท่ากับ 29 ล้านบาท คิดเป็น 17% เนื่องจากมีผู้เช่ามากขึ้นและสามารถเพิ่มอัตราค่าเช่าในโครงการเมแฟร์ มาริออต เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ตเมนต์ โครงการดิแอสคอท สาทร และอาคารโกลเด้นแลนด์
นอกจากนี้ ทางด้านค่าใช้รวมช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่ 1,432.572 ล้านบาท (เทียบช่วงเดียวกันอยู่ที่ 949.123 ล้านบาท) โดยงวดครึ่งปีแรก ต้นทุนการขายอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 942 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 443 ล้านบาท คิดเป็น 89% โดยคิดเป็นสัดส่วนเดียวกับการเพิ่มขึ้นของการรับรู้รายได้ นอกจากนั้น บริษัทยังสามารถควบคุมต้นทุนขายและคงอัตรากำไรขั้นต้นได้ในอัตราเดิม ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 390 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 51 ล้านบาท คิดเป็น 15% เนื่องจากมีภาษีธุรกิจเฉพาะค้างจ่ายจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของโครงการอินฟินิตี้ นอกจากนั้นภายใต้การบริหารของผู้บริหารชุดใหม่ บริษัทฯ มีการรับผู้ชำนาญการและมืออาชีพจำนวนหนึ่งเพื่อบริหารและก่อให้เกิดความสำเร็จในโครงการที่จะเกิดขึ้นในปี 2550 เช่น โครงการสาทรวัน โครงการโกลเด้น นครา เฟส 2 และโครงการโกลเด้น เฮอริเทจ เฟส 2
ทางด้านค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน มีดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 35 ล้านบาท คิดเป็น 28% เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจาก 5.75% เป็น 7.75% และในไตรมาสที่ 2 ปี 2549 มีเงินกู้เพิ่มขึ้นจากโครงการอินฟินิตี้อีกด้วย
อนึ่ง ตามงบการเงิน บริษัทได้ระบุว่า ณ วันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ของบริษัทย่อยจำนวนประมาณ 848 ล้านบาท (31 ธ.ค. 48: 1,001 ล้านบาท) เป็นบัญชีเอสโครว์ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการรับชำระเงินจากลูกค้า ตามสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินการเบิกถอนเงินจากบัญชีเอสโครว์ จะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดที่ได้ระบุไว้ในสัญญาเอสโครว์ และบริษัทย่อยได้โอนสิทธิการรับเงินจากบัญชีเอสโครว์บางส่วนให้แก่ธนาคารเพื่อค้ำประกันเงินกู้ยืมของบริษัทย่อย
|