|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เปิดพอร์ตกบข.ครึ่งปีแรกปรับพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นเหลือแค่ 11% จากสิ้นปีที่ผ่านมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยกว่า 14% ของพอร์ต “วิสิฐ”รับในช่วงต้นปีหลังดัชนีตลาดหุ้นทะยานทยอยขายหุ้นทำกำไร แถมยังโยกเงินลงทุนตราสารหนี้เพิ่มจาก 67.85% เมื่อสิ้นปีก่อนเป็น 72.07% ในครึ่งปีแรก ส่วนแนวโน้มการลงทุนใน 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เชื่อตลาดหุ้นยังแกว่งตัว ยืนยันยังถือเงินสดเตรียมเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นได้อีก แต่ถ้าสถานการณ์ไม่เอื้อก็พร้อมลดน้ำหนักลงทุนบวก-ลบ 1% ของพอร์ตลงทุนหุ้น ขณะที่ความคืบหน้าการจัดตั้งบลจ. คาดภายในสิ้นปีได้เห็นการเข้าถือหุ้นในบลจ.ของกบข.เพื่อเป็นพันธมิตรการทำธุรกิจ มุ่งสู่การเป็นสถาบันการออมเพื่อวัยเกษียณ
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานของกบข.ในครึ่งปีแรกต้องยอมรับว่าในช่วงต้นปีได้มีการปรับพอร์ตการลงทุน โดยให้น้ำหนักกับการลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น โดยในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นได้มีการขายหุ้นออกบางส่วนเพื่อทำกำไร ซึ่งถือเป็นนโยบายการลงทุนปกติที่ต้องปรับสัดส่วนลงทุนในหุ้นบางตัวที่ราคาสูง และย้ายไปลงทุนในหุ้นตัวอื่น โดยในครึ่งปีแรกสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นลดลงเหลือประมาณ 11% ของพอร์ตเมื่อเทียบกับในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นราว 14%
สำหรับนโยบายลงทุนของกบข.ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ นายวิสิฐ ให้ความเห็นว่า การลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะปรับลดน้ำหนัก หรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นได้อีก 1% ของพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นในปัจจุบันที่เหลือประมาณ 11% ของพอร์ต เนื่องจากได้มีการกันเม็ดเงินบางส่วนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้น แม้การเมืองจะมีความชัดเจนมากกว่าในช่วงปลายปีทีผ่านมา แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายวิสิฐกล่าวว่า การลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนกบข.ยังคงให้น้ำหนักกับหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากกลุ่มพลังงานได้รับปัจจัยบวกโดยตรงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่ม ขณะที่หลักทรัพย์บางกลุ่มแนวโน้มผลการดำเนินงานปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมัน และดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่ม
สำหรับนโยบายการลงทุนของกบข.ในช่วงครึ่งปีแรกได้มีการเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้เพิ่ม ขณะเดียวกันยังเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบันกบข.ลงทุนในต่างประเทศประมาณ 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นลงทุนเองประมาณ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนในประเทศ ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และตลาดหุ้นแบ่งเป็น 50 ต่อ 50
ทั้งนี้ พอร์ตการลงทุนของกบข. ล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2549 มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิจำนวนทั้งสิ้น 305,766 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 72.07% ตราสารทุน 10.53% อสังหาริมทรัพย์ 2.96% การลงทุนทางเลือก 4.99% การลงทุนต่างประเทศ 9.45%
ขณะที่ในช่วงสิ้นปี 2548 กบข.ลงทุนในตราสารหนี้ 67.85% ตราสารทุน 13.68% อสังหาริมทรัพย์ 3.09% การลงทุนทางเลือก 5.93% และลงทุนในต่างประเทศ 9.45%
นายวิสิฐ กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการขยายเพดานการลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศ และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยกบข.ขอขยายเพดานการลงทุนในตลาดหุ้นจาก 20% เป็น 30% ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ ขอขยายเพดานการลงทุนจาก 10% เป็น 20% ซึ่งหากได้รับการอนุมัติจะทำให้การลงทุนของกบข.ในอนาคตมีความคล่องตัวมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนในระยะยาว
ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นายวิสิฐ กล่าววา รูปแบบในเบื้องต้นคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ โดยแนวทางจะเป็นการเข้าไปร่วมทุนกับบลจ.ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยแผนการดำเนินงานของบลจ.ที่ร่วมทุนจะให้น้ำหนักกับการเป็นสถาบันการออมแห่งชาติ เพื่อรองรับการออมในวัยเกษียณในอนาคต
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนในต่างประเทศ หลังจากที่กบข.ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สามารถนำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้ จากที่ก่อนหน้ามีเงินลงทุนต่างประเทศบางส่วนที่กบข.ต้องลงทุนผ่าน กองทุนรวมลงทุนต่างประเทศ (FIF) ซึ่งคิดเป็นวงเงินราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้กบข.ได้ยกเลิกสัญญาเรียบร้อยแล้ว และนำเงินดังกล่าวมาบริหารเอง ซึ่งทำให้การบริหารมีความคล่องตัวมากขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5-6% ต่อปี
นอกจากนี้ กบข.ยังมีนโยบายเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงเฉลี่ยประมาณ 8-10% ต่อปี ซึ่งผู้จัดการกองทุนที่ดูแลอยู่ระหว่างคัดเลือกประเภทสินทรัพย์ลงทุน และยังสามารถขยายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้อีก
|
|
|
|
|