โนเบิลเคลียร์ จีเอ็มบีเอช เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเบอร์ลิน
เยอรมนี มีทุนจดทะเบียนในปัจจุบัน 305,800 ดอยช์มาร์ค หรือประมาร 5 ล้านบาทเศษ
ๆ ซึ่ง CNT มีสัดส่วนถือหุ้น 80.74% ในบริษัทนี้ทางอ้อมผ่านทางบริษัทซีเอ็นที
จีเอ็มบีเอช โดยคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนแค่ 4 ล้านบาทเศษ ๆ เท่านั้น ส่วนผู้ถือหุ้นในโนเบิลเคลียร์อีก
19.26% เป็นบริษัทในเยอรมนี
โครงการที่โนเบิลเคลียร์ดำเนินการ คือ "โคนิคส์ พาร์ค" ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเบอร์ลินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ
30 กิโลเมตรและติดถนนสายใหญ่ของกรุงเบอร์ลินไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ
30 กิโลเมตรและติดถนนสายใหญ่ของกรุงเบอร์ลิน ห่างจากสนามบินเก่าของเยอรมันตะวันออกไปเพียง
10 กิโลเมตร ถือว่าเป็นทำเลที่ดีทีเดียว
พื้นที่จำนวน 636 ไร่ของโครงการแบ่งเป็นพื้นที่ที่พักอาศัย 146 ไร่ ซึ่งตามแผนงานจะก่อสร้างบ้านพักจำนวน
923 หลัง และพื้นที่เชิงพาณิชย์ประมาณ 490 ไร่
ตอนที่ CNT เข้าลงทุนในโนเบิลเคลียร์เมื่อปี 2537 นั้น ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเยอรมนีมีอัตราเติบโตสูง
CNT คาดว่า โนเบิลเคลียร์จะขายบ้านพักได้ปีละ 300 หลังหรือประมาณ 25% ต่อปี
และจะปิดโครงการได้ภายในปี 2540
รวมทั้งคาดว่าที่ดินในเชิงพาณิชย์จะปิดโครงการได้ในปี 2542 โดยแบ่งเป็น
30% ของพื้นที่จะขายในรูปพื้นที่บริการสำหรับผู้ซื้อในการพัฒนาเอง ส่วนอีก
70% จะขายขาดหรือให้เช่าต่ออาคาร ซึ่งจะทำให้มีงานก่อสร้างและกำไรจากการพัฒนางานสร้างอาคารตามมา
ทว่า เหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้น ภาวะที่อยู่อาศัยล้นตลาดจากการเกิดโครงการรอบกรุงเบอร์ลินถึงกว่า
200 โครงการและผลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้รายได้ของบุคคลและนิติบุคคลลดลง
การขายที่อยู่อาศัยจึงเป็นไปอย่างลำบาก ประกอบกับพื้นที่ส่วนพาณิชย์ที่คาดว่าบริษัทต่าง
ๆ จะเข้ามาซื้อหรือเช่า ก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะมีการย้ายฐานการผลิตจากเยอรมนีไปยังต่างประเทศเพราะปัญหาค่าแรง
โนเบิลเคลียร์จึงต้องปรับเป้าหมายการขายพื้นที่ใหม่ครั้งแรกในปี 2538 คาดว่าที่อยู่อาศัยจะปิดโครงการได้ในปี
2542 และต้องปรับตัวเลขใหม่อีกครั้งในปี 2539 โดยเลื่อนปิดโครงการเป็นปี
2547 เช่นเดียวกับพื้นที่พาณิชย์ที่เลื่อนการปิดโครงการเป็นปี 2547
ผลก็คือจะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพิ่มขึ้น เช่น ดอกเบี้ยจ่ายค่าโสหุ้ยต่าง
ๆ รวมไปถึงอาจต้องมีการลดราคาขาย จึงประมาณการว่าเมื่อสิ้นสุดโครงการโนเบิลเคลียร์จะมียอดขาดทุนประมาณ
61.50 ล้านดอยช์มาร์คหรือประมาณ 1,045 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้โนเบิลเคลียร์ต้องตั้งสำรองการขาดทุนไว้ด้วย
นอกจากนี้ โครงการโนิคส์ พาร์คยังใช้เงินสนับสนุนส่วนใหญ่จากการเงินกู้ยืมเป็นตัวจักรในการลงทุน
โดยตามประมาณการปี 2539 จะมีเงินกู้ยืมจาก CNT ทั้งหมด 67 ล้านดอยช์มาร์ค
หรือประมาณ 1,100 ล้านบาทและเงินกู้จากธนาคารอีกประมาณ 3,400 ล้านบาท ซึ่งเบิกใช้ได้สูงสุดประมาณ
2,800 ล้านบาท โดยมี CNT เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ยืมให้ ดังนั้นการเลื่อนปิดโครงการจึงส่งผลกระทบถึงปัญหาการเงินตามมา
ธนาคารเจ้าหนี้ไม่อาจปล่อยให้โนเบิลเคลียร์จัดการกับโครงการอย่างอิสระต่อไป
แต่สร้างกรอบใหม่ในการทำงานให้กับโนเบิลเคลียร์ โดยวางเงื่อนไขให้โนเบิลเคลียร์ต้องขายโครงการได้ถึง
50% ก่อนที่จะก่อสร้างเสร็จและต้องขายโครงการในเฟสเดิมได้ถึง 75% และขายเฟสก่อนหน้าเฟสเดิม
95% ของโครงการก่อนที่จะเริ่มโครงการต่อไป กล่าวได้ว่าโนเบิลเคลียร์มีข้อจำกัดในการขยายตัวมากขึ้น
ดังนั้นการจะผลักดันโครงการโคนิค พาร์คให้เดินหน้าต่อไปจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
โนเบิลเคลียร์ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและระยะเวลาอีกพอสมควร ซึ่งภาระหนักย่อมจะตกแก่
CNT ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยต้องสนับสนุนในด้านเงินกู้ และอาจต้องเซ็นค้ำประกันการกู้ยืมให้โนเบิลเคลียร์เพิ่มขึ้น
แต่ CNT ไม่มีเวลาให้กับโนเบิลเคลียร์อีกต่อไป
เพราะขณะนี้ CNT ต้องแบกรับผลกระทบทั้งสองด้านเพียบบ่าอยู่แล้ว นั่นคือในฐานะผู้ถือหุ้น
CNT ต้องรับรู้สำรองการขาดทุนและหนี้ที่โนเบิลเคลียร์ติดชำระกับเจ้าหนี้อื่น
ๆ เข้ามาในงบการเงินรวมของบริษัท ขณะที่ในฐานะเจ้าหนี้ CNT ก็เรียกเก็บเงินจากโนเบิลเคลียร์ไม่ได้
ผลที่ตามมาก็คือ CNT มีสถานะทางกาเรงินง่อนแง่นจนถึงขั้นอาจถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
แผนการลดสัดส่วนการถือหุ้นในโนเบิลเคลียร์จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดเท่าที่ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ
CNT จะทำได้ในขณะนี้เพื่อรักษาสถานภาพการเป็นบริษัทจดทะเบียนของ CNT