Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2539
เมื่อ 'วอลโว่' เบิกโรงปตท. ต้องเล่นต่อให้จบ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท สวีเดนมอร์เตอร์ส จำกัด(มหาชน)

   
search resources

สวีเดนมอเตอร์ส, บมจ.
ลีนา จีเวิร์ต
Vehicle




ไม่ว่า ไทย-สวีดิช แอนเซมบลีย์ หรือสวีเดนมอเตอร์ จะเป็นแม่งาน แม้กระทั่งจะดำเนินการในนาม วอลโว่ กรุ๊ป ก็ตาม แต่จากผลครั้งนี้น่าที่จะทำให้ภาพพจน์ของรถยนต์วอลโว่ในประเทศไทยโดดเด่นขึ้นอย่างมาก

การเปิดภาพของยนตรกรรมพิทักษ์สิ่งแวดล้อม "วอลโว่ 850 ไบฟูเอล"

การเปิดโรงงานประกอบรถยนต์ให้สื่อมวลชนได้สัมผัสในโอกาสครบรอบ 20 ปีด้วยการเน้นวิถีแห่งความพยายามและการดำเนินนโยบายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมที่กระทำมาตลอด 6 ปี คือ ความต่อเนื่องที่วอลโว่กรุ๊ปตั้งใจให้เกิดขึ้น และหวังที่จะชี้ให้เห็นว่า เครือข่ายแห่งนี้ได้พยายามอย่างเต็มที่ที่จะพัฒนาในทุกเรื่องเพื่องานอนุรักษ์สภาพแวดล้อม

ในวันเข้าชมโรงงานประกอบรถยนต์วอลโว่ของไทยสวีดิช แอสเซมบลีย์ เมื่อ 27 กันยายนที่ผ่านมานั้น โจมนัส แอสตรอม ผู้จัดการทั่วไป, ฐาณิสร์ ธนะสุนทร ผู้จัดการฝ่ายการผลิต และผู้บริหารคนอื่น ๆ ดูตั้งใจจะนำเสนอในเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ

"ทำไมวอลโว่ถึงให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมก็เพราะวอลโว่ตระหนักดีว่า อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์นั้นได้สร้างมลพิษมากมาย โดยประมาณ 10% จะมาจากกระบวนการผลิตในโรงงาน 80% มาจากการนำรถยนต์นั้น ๆ ไปใช้ และที่เหลือ 10% ก็คือขยะที่เหลือจากอุตสาหกรรมนี้" ผู้บริหารกล่าวถึงแนวคิดของวอลโว่ แห่งสวีเดน พร้อมกับแสดงแผนผังประกอบในประเด็นต่าง ๆ

เป็นที่รับทราบกันดีว่าประเทศในยุโรปส่วนใหญ่มักจะเน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เป็นมาอย่างนี้นานนับสิบปี ในสวีเดนก็ไม่แตกต่างกัน วอลโว่จึงต้องเร่งหาหนทางพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเพื่อให้เดินตามนโยบายนั้น

มิใช่เพียงหน้าที่เท่านั้นที่วอลโว่แห่งสวีเดต้องปฏิบัติ แต่เป็นจิตสำนึกขององค์กรแห่งนี้ประกอบเข้าไปด้วย ไม่เช่นนั้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมคงไม่สนองมายังโรงงานประกอบในประเทสไทย เพราะแน่นอนว่าการพิทักษ์สิ่แวดล้อมในบางด้านยังทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงกว่าปกติอยู่

ไทย-สวีดิช แอสเซมลีย์ คือ โรงงานประกอบรถยนต์วอลโว่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง วอลโว่แห่งสวีเดนจึงต้องการส่งเสริมในเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้าไปด้วย ซึ่งให้นโยบายมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 หรือปี พ.ศ. 2533

"บริษัทแม่ให้นโยบายมาตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งเราก็ได้พยายามพัฒนากระบวนการผลิตในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ซึ่งถึงขณะนี้ก็ได้พัฒนาในหลายจุด แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่บ้างที่ไม่สามารถพัฒนาได้สูงสุด" ผู้บริหารกล่าว

สำหรับในไทย เหตุผลประการสำคัญที่การพัฒนากระบวนการผลิตอย่างสูงสุดไม่เกิดขึ้น ไม่ใช่ปัญหาด้านเทคโนโลยียานยนต์เพียงอย่างเดียว ข้อจำกัดในเรื่องต้นทุนก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ แต่ระยะหลังการออกแบบหรือพัฒนารถยนต์แต่ละรุ่นจะคำนึงถึงสภาพแวดล้อมมากขึ้น ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนเพียงอย่างเดียวเช่นในอดีต ซึ่งตรงนี้จะสะท้อนมายังประเทศไทยด้วย

ประเด็นที่มีการพูดถึง เช่น การปนเปื้อนในอากาศ (EMISSION CONTROL) ซึ่งวอลโว่ได้พัฒนาจนปัจจุบันเหลือเพียง 5% และได้วางแผนว่าในปี ค.ศ.1999 จะให้เหลือเพียง 1% หรือการใช้สารละลาย หรือสารเคมีต่าง ๆ ในกระบวนการผลิตก็ลดลงเป็นลำดับ ซึ่งในส่วนนี้มีการคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ก่อนที่จะคิดถึงต้นทุน เช่น ในการประกอบตัวถังรถยนต์จะใช้สารเคมีน้อยลง ซึ่งการนำสีน้ำมาใช้นั้น ในสวีเดนได้พัฒนาถึงขั้นนำมาใช้แทนสีทินเนอร์ในขั้นที่สองแล้ว และคาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะสามารถพัฒนาจนถึงขั้นนำมาใช้แทนสีจริงได้ สำหรับในไทยยังติดเรื่องต้นทุนอยู่ การนำสีน้ำมาใช้ในขั้นที่สองจึงยังต้องรอไปก่อน

นอกจากการเลือกใช้สิ่งต่าง ๆ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว บางอย่างยังสะท้อนออกมาในด้านของความแข็งแกร่งและคุณภาพของสินค้าด้วย

เช่น การนำเหล็กที่เคลือบกาวาไนซ์ (GAVANIZED METAL) ทั้งสองด้านมาใช้ทำเป็นตัวถังซึ่งคิดเป็น 85% ของตัวถังทั้งหมด ทำให้ไม่ต้องมีขั้นตอนของการชุบกันสนอมอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกจากรักษาสิ่งแวดล้อมในด้านของขยะที่เหลือจากกระบวนการผลิตแล้ว ยังได้ความแข็งแรงคงทนของตัวสินค้าด้วย เพราะเหล็กที่เคลือบกาวาไนซ์นั้น จะทนต่อสภาพทุกอย่าง เป็นโครงสร้างทางไฟฟ้าที่ทำให้ไม่เกิดสนิมนานนับสิบปี และเมื่อมีการเฉี่ยวชน โครงสร้างเหล็กประเภทนี้จะไม่ทำให้สนิมลุกลามออกไป เช่น ตัวถังรถยนต์ที่ใช้ระบบชุบกันสนิมทั่วไป

คร่าว ๆ นั้น คือ ภาพของโรงงานประกอบรถยนต์ จากนั้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2539 บริษัท วอลโว่ประเทศไทย จำกัด โดย พาสคาล เบลเลมัสน์ กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับการนำรถยนต์วอลโว่ 850 ไบฟูเอล ซึ่งเป็นระบบสองเชื้อเพลิง คือ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 3 คัน เข้ามาในเมืองไทย เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 1 คัน และอีก 2 คันจะมอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมกับศูนย์พันธุกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและกรมควบคุมมลพิษ และตามด้วยการสัมมนาทางวิชาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 7-8 ตุลาคม

การเปิดตัว 850 ไบฟูเอล ครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มของวอลโว่และเป็นการจุดประกายในเรื่องของรยถนต์ก๊าซธรรมชาตภาคเอกชนในประเทศไทย ซึ่งที่สุดจะนำไปสู่การจำหน่ายรถยนต์ระบบก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย เพื่อรักษามลภาวะทางอากาศให้เป็นพิษน้อยลง

ดร.ลีนา จีเวิร์ต ผู้จัดการด้านสิ่งแวดลอ้ม จากวอลโว่แห่งสวีเดน กล่าวว่า รถยนต์ระบบสองเชื้อเพลิงนี้ ทางวอลโว่ได้พัฒนามานานพอสมควร และเป้าหมายสุดท้ายก็คือการได้มาซึ่งรถยนต์ระบบก๊าซธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ที่สุด

สำหรับ 850 ไบฟูเอล นั้นมีจำหน่ายในประเทศสวีเดนมาประมาณ 3 ปีแล้ว และยังคงเป็นระบบสองเชื้อเพลิงอยู่ ซึ่งนอกจากพัฒนาการของรถยนต์เองแล้ว ในสวีเดนก็ยังติดขัดในเรื่องของสถานีเติมก๊าซธรรมชาติที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการจึงต้องใช้ระบบสองเชื้อเพลิงต่อไป

"พัฒนาเพื่อเป็นรถยนต์ก๊าซธรรมชาติโดยเฉพาะ นั่นคือเป้าหมายหลัก"

ไม่เพียงเฉพาะวอลโว่เท่านั้น รถยนต์เกือบทุกยี่ห้อทั่วโลกได้มุ่งการพัฒนาไปยังจุดนี้เช่นกัน แต่ในตลาดแห่งนี้ วอลโว่ได้กลายเป็นแม่งานที่จะกระตุ้นให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา

แผนงานเกี่ยวกับรถยนต์ก๊าซธรรมชาติในไทยนั้น ทางวอลโว่วางไว้คร่าว ๆ ว่า ถ้าจะมีการจำหน่ายก็คงออกมาในรูปของการนำเข้า ซึ่งจะเริ่มจำหน่ายเมื่อไรนั้นคงขึ้นอยู่กับว่า สถานีเติมก๊าซธรรมชาติที่จะมารองรับรถยนต์เหล่านี้พร้อมเมื่อไร

"ภายใน 5 ปีจากนี้คิดว่าคงจะเป็นรูปร่างขึ้นมา และคงจะให้บริการได้" ปริญญา จรุงจิตรประชารมย์ ผู้จัดการส่วนการตลาดและขายก๊าซ ฝ่ายตลาดก๊าซธรรมชาติ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กล่าวถึงความคืบหน้าและแนวโน้มในการตั้งสถานีบริการก๊าซธรรมชาติในเขตเมือง ที่จะมารองรับรถยนต์ระบบก๊าซธรรมชาติที่บริษัทรถยนต์ต่าง ๆ จะนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเช่น วอลโว่

การกระตุ้นให้เกิดเป็นรูปธรรมครั้งนี้ ทางวอลโว่ถือเป็นแม่งาน โดยปตท.เข้าร่วมและเป็นปัจจัยสำคัญที่ว่าโครงการนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่

"ในขั้นต้นนี้ วอลโว่ถือเป็นแม่งาน แต่หลังจากนี้ทางเราจะเป็นผู้ที่จะต้องประสานกับภาคเอกชนรายอื่น ๆ ให้เข้ามาสู่จุดนี้ ซึ่งขณะนี้คิดว่าเกือบทุกรายก็มีการพัฒนาตรงนี้กันมากแล้ว แต่ยังไม่มีใครเปิดตัวในไทยเท่านั้น" ผู้บริหารของปตท.กล่าว

ปตท. ได้วางแผนเกี่ยวกับการตั้งสถานีบริการก๊าซธรรมชาติในเขตเมืองมาตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งถ้าสามารถวางที่ตั้งเพื่อรองรับในเชิงพาณิชย์ได้ การจำหน่ายรถยนต์ก๊าซธรรมชาติก็คงเกิดขึ้นจริง ซึ่งน่าที่จะทำให้มลพิษทางอากาศลดลงได้ โครงการรถยนต์ระบบก๊าซธรรมชาตินี้นับเป็นความต่อเนื่อง หลังจากที่ปตท.ประสบความสำเร็จในการทดลองใช้กับรถยนต์โดยสารประจำทาง ซึ่งดำเนินการตั้งแต่ปี 2527 โดยสถานีบริการอยู่ที่รังสิตเพียงแห่งเดียว

"การลงทุนก็หลายพันล้านบาท แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ว่าลงทุนไปแล้วจะคุ้มหรือไม่ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะวางข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติมาในเขตเมืองได้อย่างไร โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งติดทั้งปัญหาการขอใช้ที่ดิน ปัญหาทางเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ซึ่งแนวทางในขณะนี้ อาจจะออกมาในลักษณะเดินท่อส่งก๊าซรอบเมืองแล้วตั้งสถานีถ่ายก๊าซที่นอกเมือง แล้วค่อยบรรทุกมายังสถานีบริการที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง"

การจุดประกายในเรื่องรถยนต์ระบบก๊าซธรรมชาตินั้น ถือว่าวอลโว่ทำได้ดีแล้ว

จากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า ปตท.ซึ่งกำลังจะกลายเป็นหัวใจหลักจะสานต่อสิ่งดี ๆ อย่างนี้ได้ดีแค่ไหน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us