|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โบรกเกอร์เผยขาใหญ่ตลาดหุ้นเลิกเล่นแบบซื้อถูกขายแพง หันมายึดกิจการแทน สร้างเครือข่ายใหญ่ ทำงานเป็นทีม ได้กำไรมหาศาล ยิ่งมีโบรกเกอร์เป็นของตัวเองยิ่งรวยครบวงจร จับตาก๊วนเตชะอุบล กลับมาใหญ่อย่างรวดเร็ว แถมดราก้อน วัน ที่ "จเรรัฐ"ถือหุ้นใหญ่แค่ครึ่งเดือนคืนทุน แถมเหลือหุ้นอีกเพียบ พบสายสัมพันธ์เชื่อมโยง IEC-EVER ผ่านตัวบุคคล
วิธีการสร้างความร่ำรวยในตลาดหุ้นนอกเหนือจากการซื้อหุ้นราคาต่ำ รอขายในราคาสูงที่เป็นสูตรสำเร็จของนักลงทุนทั่วไปไม่ว่าจะเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ แต่ระยะหลังสูตรทำกำไรดังกล่าวทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากหุ้นหลายตัวมีคนคอยดูแล อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจสะดุดเพราะพิษราคาน้ำมันและดอกเบี้ยทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหวค่อนข้างแคบ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรมากนัก
หุ้นตัวเล็กวิ่งเร็วและแรงหลายตัว ต่างถูกจับจองด้วยขาใหญ่ ที่สามารถลากจูงได้ทุกเมื่อแค่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ที่น่าจับตามองมากที่สุดในเวลานี้มีหุ้น 5-6 ตัว ประกอบด้วย บริษัท ดราก้อน วัน จำกัด (มหาชน) หรือ D1 บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS และบริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRAF
"เตชะอุบล"เร็ว-แรง
ชื่อหุ้นเหล่านี้ถือเป็นหุ้นนักลงทุนรายย่อยที่เน้นเล่นเก็งกำไรคุ้นเคยกันดี แต่ที่กลายเป็นจุดสนใจคือกรณีหุ้น EVER ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องห้ามซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading) จนถึง 1 กันยายน 2549
หลังจากที่ผ่านการฟื้นฟูกิจการจนสามารถเปิดทำการซื้อขายได้ มีการลากราคาหุ้นจาก 3-4 บาทสูงขึ้นไปถึง 12 บาท และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือการกลับมาของกลุ่มเตชะอุบล เจ้าของเดิมเข้ามาฟื้นฟูกิจการของบริษัท คันทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนชื่อมาเป็น EVER ภายหลัง ปัจจุบันถือหุ้น 38.59%
ขณะเดียวกันฐานของกลุ่มเตชะอุบลยังได้เข้าไปบริหารงานในบริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน ที่เปลี่ยนมือมาจากผิน คิ้วไพศาลหรือคิ้วคชา ซึ่งหุ้นตัวนี้ก็ร้อนแรงไม่เบา แม้ดูจากรายชื่อผู้ถือหุ้นจะมีสัดส่วนแค่ 2.92% แต่ตัวสดาวุธ เตชะอุบล นั่งเป็นประธานกรรมการบริหาร
ไม่เพียงแค่นี้ยังมีบุคคลในตระกูลเตชะอุบลถือหุ้นใน IEC หุ้นที่ร้อนแรงอีกตัวหนึ่ง มีชื่อ บี เตชะอุบลถือหุ้นอยู่ 3.49% แต่ในช่วงปลายปี 2548 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2549 ได้มีการเทขายหุ้น ASL ทั้งสิ้น 25 ล้านหุ้นได้เงินไป 104.45 ล้านบาท ซึ่งอีกไม่ช้าข่าวการแลกหุ้นระหว่าง IEC กับ BLISS ก็จะได้ข้อสรุปออกมา
นั่นเป็นการบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากลุ่มเตชะอุบลจะถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนขั้นต่ำ 4 แห่ง
D1 เชื่อม IEC-EVER
อีกด้านหนึ่งการรุกเข้ามาซื้อหุ้นใหญ่ในบริษัท ไดอาน่าดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จำกัด (มหาชน) 76.17% ของจเรรัฐ ปิงคลาศัย อดีตผู้บริหาร IEC ที่เข้ามาซื้อหุ้นจำนวนนี้ไปที่ราคา 4.08 บาทต่อหุ้น เบ็ดเสร็จใช้เงินไปราว 48 ล้านบาท หลังจากนั้นได้มีการปรับราคาพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นที่ได้มาอยู่ที่ 0.408 บาทและจำนวนหุ้นเพิ่มจากเดิมอีก 10 เท่าตัว โดยถือครองหุ้นกว่า 118 ล้านหุ้น พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อมาเป็นดราก้อน วัน หรือ D1
หลังจากทำคำเสนอซื้อเสร็จในวันที่ 19 กรกฎาคม จากนั้นผู้ถือหุ้นรายนี้ได้ทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดสัดส่วนการถือหุ้นลง หนึ่งในบุคคลที่ขายหุ้นให้คือสุมิท แช่มประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร IEC และมีการขายออกมาอีกหลายรายการ เพียงแค่ครึ่งเดือนมีการขายหุ้นออกมาแล้ว 33.8 ล้านหุ้น ได้เงินไปแล้ว 56.69 ล้านบาท
ระยะเวลาแค่ 11 วันของการขายออกไปผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้กำไรไปแล้ว 8.48 ล้านบาท และยังเหลือหุ้นอีกมาก ถือเป็นการสร้างรายได้ที่งดงามภายในระยะเวลาอันรวดเร็วหากเขาปล่อยหุ้นออกมาทั้งหมด
จะเห็นได้ว่า D1 เชื่อมโยงกับ IEC ผ่านตัวบุคคลที่เคยเป็นอดีตผู้บริหารที่ยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารในปัจจุบัน
จับตา TRAF เข้าสังกัด
นอกจากนี้หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ASL ยังมี ชนะชัย ลีนะบรรจง ที่ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง แต่ที่น่าสนใจถือเขาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ใน TRAF สัดส่วน 5.88% ซึ่งในบริษัทแห่งนี้ เคยมีชื่อของเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายกรัฐมนตรีเข้ามาถือหุ้นใหญ่และปล่อยหุ้นออกไปให้กับกลุ่มวิไลลักษณ์ โดยผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย ได้ตัดสินใจขายหุ้นออกมา 58 ล้านหุ้นหรือ 16.92% ให้กับ พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย หนึ่งในผู้บริหารบริษัท อาร์ เอ็น ที จำกัด ที่ได้รับสิทธิพิเศษจากกรมประชาสัมพันธ์ให้ทำทีวีผ่านดาวเทียม และหนึ่งในเจ้าของบริษัทมีคนในตระกูลชินวัตรร่วมบริหารด้วย แต่ภายหลังได้ลาออกไป
หลังจากการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นรายใหม่ใน TRAF มูลค่าการซื้อขายของหุ้นตัวนี้ก็เริ่มคึกคักขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าผู้ถือหุ้นเหล่านี้เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเดียวกันหรือไม่ เพราะหากถามเจ้าตัวก็ต่างปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้อง มีเพียงสถานการณ์ในอนาคตเท่านั้นที่จะเป็นตัวเฉลยว่าเขาเหล่านี้เชื่อมโยงกันมากน้อยเพียงใด
แต่ที่แน่ ๆ วิธีการเหล่านี้ช่วยปลุกให้หุ้นที่เกี่ยวข้องร้อนแรงขึ้นมาทันตาเห็น ส่วนใหญ่จะฉกฉวยประโยชน์ในตอนใดนั้นถือเป็นไปตามกลไกของตลาดทุน ซึ่งยากที่หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลอย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) จะเข้าไปจัดการใด ๆ
รวยด้วยกัน
โบรกเกอร์รายหนึ่งกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าหลักการนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีการสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนที่มีเม็ดเงินหนา เปลี่ยนจากการเป็นนักลงทุนธรรมดาเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียน แน่นอนว่าเขาเหล่านี้จะทราบว่าผู้บริหารจะมีแผนขยายธุรกิจอย่างไร เพราะบางคนก็เป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทด้วย
ถามว่าเมื่อเขารู้ว่าจะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อนชาวบ้านแล้วเขาจะไม่ทำอะไรเชียวหรือ ในบางครั้งเราอาจจะไม่เห็นรายการขายหรือซื้อของผู้บริหารเหล่านี้ เพราะเขาจะไม่ถือในชื่อของตัวเองทั้งหมดใช้ตัวแทนรายอื่นเข้ามาถือหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือการต้องการรายต่อทางการ แล้วอย่างนี้ทางการจะเอาผิดเขาได้อย่างไร
จริง ๆ แล้วหลักการไม่ได้แตกต่างกันมากนัก อาศัยการจุดพลุ ทำให้ราคาหุ้นดูดี ปล่อยข่าวเชิงบวกออกมาหนุนว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนจะทำได้หรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งในทางจิตวิทยาแล้วถือเป็นการสร้างแรงซื้อได้เป็นอย่างดี ทั้งหมดนี้อาศัยความโลภของนักเก็งกำไรให้เข้ามาร่วมเส้นทางเท่านั้น
เมื่อเขาเป็นคนกำหนดเกม คุมทุกอย่างได้ หากจะขายหุ้นออกก่อนชาวบ้านคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คนที่เจ็บตัวคือบรรดารายย่อยที่เข้ามาลงทุนโดยไม่พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน
กลุ่มที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกหลายกลุ่มที่มีอาณาจักรเป็นของตนเอง ยิ่งนักลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจหลักทรัพย์ด้วยแล้ว ทุกอย่างถือว่าครบวงจร ถือเป็นการเอื้อกันทั้งระบบ
ยากเอาผิด
เขากล่าวต่อไปว่าแม้ว่านักลงทุนรายใหญ่จะมีหลายกลุ่ม แต่จริง ๆ แล้วแต่ละกลุ่มก็จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จะเห็นได้ว่าเมื่อหุ้นของกลุ่มหนึ่งร้อนแรงขึ้นมา หุ้นกลุ่มอื่นก็จะลดความร้อนแรงลง เหมือนเป็นการผลัดกันครั้งนี้เป็นของคุณ ครั้งหน้าเป็นของผม บางครั้งก็ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน วิธีการนี้ถือได้ว่ารวยกันทั้งกลุ่ม
สิ่งที่เราเห็นนั่นเป็นเพียงแค่กลุ่มระดับบน ที่เราเห็นจากชื่อในการเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นครั้งละมาก ๆ เท่านั้น ในกระบวนการนี้ยังมีกลุ่มย่อย ๆ ซ้อนกันอีกหลายกลุ่ม ส่วนใครจะได้มาก-น้อย หรือขาดทุนกันบ้างก็ขึ้นกับความสนิทสนมกับนักลงทุนขาใหญ่ระดับบนว่าจะให้ข้อมูลว่าจะทำอะไรมากน้อยแค่ไหน
ที่สำคัญหุ้นลักษณะนี้นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ มักเห็นว่ามีความเสี่ยง มักแนะนำให้ลูกค้าหลีกเลี่ยง จึงไม่มีบทวิเคราะห์ออกมามากนัก บางบริษัทก็ไม่มีบทวิเคราะห์ออกมาเลย ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้บริษัทเหล่านี้มีข่าวเรื่องพันธมิตรรายใหม่ หรือการขยายธุรกรรมออกมาค่อนข้างมา เมื่อรายย่อยไม่สามารถตรวจสอบได้และถ้าชอบเสี่ยง ยิ่งได้เจ้าหน้าที่การตลาดยุด้วยแล้วก็เข้าทางขาใหญ่เหล่านี้ได้ง่าย
เรายังไม่เห็นว่าการกระทำของพวกเขาจะผิดต่อกฎเกณฑ์ของทางการ เพราะเขาศึกษาเรื่องเหล่านี้มาเป็นอย่างดี ดังนั้นหากทางการจะเอาผิดคงทำได้ยาก ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่าอย่างมากทางการพยายามปกป้องรายย่อยได้เพียงการให้ซื้อขายหุ้นประเภทนี้ด้วยเงินสด ทำได้แค่เป็นการจำกัดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น
|
|
|
|
|