|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“ไทยพาณิชย์” ลั่นได้เวลาดึงเงินฝากกลับสู่ระบบ ขึ้นดอกเบี้ยสกัดตลาดทุนหลังพบดึงเงินออมออกจากระบบไป 3-4 ล้านบาท ระบุชิงขึ้นดอกเบี้ยก่อนเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อและการลงทุนของธนาคารในรูปแบบต่างๆ พร้อมปรับส่วนเน้นบัญชีเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น ด้านกรุงไทย-กรุงศรีฯปรับขึ้นดอกกู้ฝาก 0.25-0.50%
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ที่ผ่านมาว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากกรณีที่ตลาดเงินตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมาได้มีการดึงเงินออมจากธนาคาร เช่น กองทุนต่างๆ โดยพบว่าในปี 2548 ได้ดึงเงินออกประมาณ 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์จึงถือเป็นดึงการเอาเงินฝากกลับคืน
“เงินฝากถูกโยกไปเงินกองทุน ซึ่งที่จริงมันก็เป็นประสบการณ์เมื่อปีที่แล้ว แล้วก็ค่อยๆ ทวีคูณขึ้น และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์เป็นการปรับตัวระหว่างสถาบันต่างๆ และสถาบันในธุรกิจเดียวกัน”
ทั้งนี้การที่ธนาคารเป็นผู้นำในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนธนาคารพาณิชย์แห่งอื่นนั้นเพื่อเป็นการเตรียมสภาพคล่องในการรองรับการขยายตัวของสินเชื่อและรองรับการลงทุนของธนาคารในรูปแบบต่างๆ ทำให้ธนาคารต้องระดมเงินโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนธนาคารอื่น ขณะเดียวกันการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารที่มีการปรับให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยปรับเงินฝากในอัตรา 0.50% ขณะที่อัตราเงินกู้ปรับเพียง 0.25% เนื่องจากไม่อยากให้มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจจึงค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ผ่านมาจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่นั้น ในส่วนตัวยังไม่สามารถยืนยันได้ เนื่องจากปัจจุบันดอกเบี้ยกำลังปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุล ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นกับการปรับตัวของธนาคาร ขึ้นกับสภาพคล่องและนโยบายของธนาคารแต่ละแห่ง
“การปรับอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่นั้น คงไม่สามารถยืนยันได้ ซึ่งการปรับหรือไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยคงต้องเป็นแนวนโยบายของแต่ละแบงก์มากกว่า”
คุณหญิงชฎา กล่าวต่อว่าในส่วนของอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ที่ยังไม่มีการปรับเนื่องจากสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ยังมีอยู่มาก โดยธนาคารทั้งระบบมีประมาณ 40% ขณะที่ธนาคารอยากเห็นสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ลดลงและเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น เพราะหากสัดส่วนเงินฝากประจำเพิ่มขึ้นจะทำให้การบริหารต้นทุนของธนาคารทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับเงินฝากออมทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“ในสิ้นปีสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์น่าจะมีแนวโน้มลดลงอยู่ที่ระดับ 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 50% เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีบัญชีเงินฝากประจำเพิ่มขึ้น ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์ลดลง ซึ่งคาดว่าในสิ้นปีนี้อาจจะยังไม่เห็นตัวเลขดังกล่าว แต่ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ตามในครึ่งหลังของปีเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังจะขยับขึ้นอีก แม้ว่าสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์จะยังมีอยู่มาก เนื่องจากผู้ประการในอุตสาหกรรมธนาคารยังคงมีการแข่งขันกันอยู่ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในขณะนี้ยังแตกต่างกัน ขณะที่ธนาคารยังต้องแข่งขันกับธุรกิจอื่นด้วย เช่น ตลาดตราสารหนี้ กองทุนรวม ส่วนแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันเชื่อว่าน่าจะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติแล้วแม้ว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นบ้างแต่จะไม่สูงเท่ากับในอดีต
“ต้องยอมรับว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำผิดปกติ ซึ่งการปรับขึ้นในปัจจุบันเป็นการปรับเพิ่มเพื่อเข้าสู่ภาวะปกติเท่านั้น”
กรุงไทย-กรุงศรีฯขยับดบ.กู้-ฝาก
ด้านนายตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอีก 0.25-0.50% และเงินกู้ปรับขึ้นอีก 0.25% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2549 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ วงเงิน 20 แต่ไม่ถึง 30 ล้านบาท เป็น 2.50% วงเงิน 30 แต่ไม่ถึง 50 ล้านบาท เป็น 3.00% วงเงิน 50 แต่ไม่ถึง 100 ล้านบาทเป็น 3.50% วงเงิน 100 แต่ไม่ถึง 500 ล้านบาท เป็น 3.75% และวงเงิน 500 ล้านบาทขึ้นไป เป็น 4.25%
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน วงเงินน้อยกว่า 1 ล้านบาท ปรับลงเป็น 3.50% วงเงิน 1 แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท เป็น 4.25% วงเงิน 10 แต่ไม่ถึง 20 ล้านบาท วงเงิน 20 แต่ไม่ถึง 50 ล้านบาท วงเงิน 50 แต่ไม่ถึง 100 ล้านบาท เป็น 4.50% และวงเงิน 100 ล้านบาทขึ้นไปเป็น 4.75%
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน วงเงินน้อยกว่า 1 ล้านบาท เป็น 3.75% วงเงิน 1 แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท เป็น 4.50% วงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป 4.75%
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน วงเงินตั้งแต่ 1 แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท เป็น 4.75% และวงเงิน 10 ล้านบาทขึ้นไป เป็น 5.00% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 15 เดือน วงเงิน 1 แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท เป็น 4.75% วงเงิน 10 ล้านบาทขึ้นไปเป็น 5.00%
ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับขึ้น 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์เป็น 8.00% อัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เป็น 8.50% และอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ 8.50%
กรุงไทยปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้อย่างละ 0.25 %
รายงานข่าวจากฝ่ายสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าธนาคารได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินกู้ขึ้นอีก 0.25% ส่งผลให้เงินฝากประจำ 3 เดือน วงเงินน้อยกว่า 1 ล้านบาท ปรับเป็น 3.50% วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ปรับเป็น 4.00% วงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ปรับเป็น 4.25% เงินฝากประจำ 6 เดือน วงเงินน้อยกว่า 1 ล้านบาท ปรับเป็น 3.75% วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ปรับเป็น 4.25% วงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ปรับเป็น 4.50% เงินฝากประจำ 12 เดือน วงเงินน้อยกว่า 1 ล้านบาท จ่ายอัตราดอกเบี้ย 4.00% เท่าเดิม วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ปรับเป็น 4.75% วงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ปรับเป็น 5.00%
สำหรับเงินฝากประจำ 24 เดือน และเงินฝากประจำ 36 เดือน จ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 4.75% ต่อปี เงินฝากกรุงไทยปลอดภาษี ผู้ฝากต้องฝากเท่ากันทุกเดือนเป็นระยะเวลา 24 เดือน อัตราผลตอบแทนอิงกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน บวก 1% ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 5.00% ต่อปีเท่าเดิม ส่วนเงินฝากกรุงไทยทวีคูณ ผู้ฝากต้องฝากเท่ากันทุกเดือนเป็นระยะเวลา 24 เดือน อัตราผลตอบแทนอิงกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงสุด 12 เดือน บวก 1% ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 6.00% ต่อปี เงินฝากกรุงไทยสมนาคุณ 3 เดือน จ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 4.50% ต่อปี เงินฝากกรุงไทยสมนาคุณ 6 เดือน จ่ายดอกเบี้ยในอัตรา 4.75% ต่อปี
ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับขึ้น 0.25% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์ ปรับเป็น 7.75% เอ็มโออาร์ ปรับเป็น 8.00% และ เอ็มอาอาร์ ปรับเป็น 8.25% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้
|
|
|
|
|