การดื่มไวน์เพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน แม้รัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มสรรพสามิตสำหรับการนำเข้าไวน์ซึ่งจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยจาก
20% เป็น 40% ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็มีผลกระทบเพียงชะลอการขยายตัวของสินค้าประเภทนี้เท่านั้น
2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของตลาดไวน์โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับ 40% แต่ภายหลังการปรับภาษีซึ่งส่งผลให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นถึง
20% นี้ ก็ยังมีการคาดการณ์กันว่า ตลาดไวน์ไทยน่าจะยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนได้ไม่น้อยกว่า
30% โดยมีมูลค่าตลาดรวมในปีนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี คาดว่าผลจากภาษีจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในปีหน้า
เนื่องจากผุ้นำเข้าไวน์ส่วนใหญ่จะมีสต็อกไวน์ไว้จำนวนหนึ่ง ทำให้ช่วงแรก
ๆ หลังการปรับเพิ่มภาษีผู้นำเข้าก็ยังสามารถยืนราคาเดิมไว้ได้ และมาปรับราคาเพิ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี
ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลปลายปีพอดี
ผลของการขยายตัวอย่างรวดเร็วของตลาดไวน์นี้ ทำให้สินค้าประกอบไวน์ โดยเฉพาะแก้วไวน์มีอัตราการขยายตัวที่ดีตามไปด้วย
สุภาวัลย์ กันยาประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชียนกลาส จำกัด (มหาชน)
ได้เล็งเห็นถึงการเติบโตของตลาดดังกล่าว รวมถึงเครื่องจักรของโอเชียนกลาสเองก็มีการเตรียมไว้สำหรับรองรับการผลิตเครื่องแก้วสเต็มแวร์หรือแก้วก้านอยู่แล้ว
จึงอาศัยจังหวะเหมาะตรงนี้ลงทุนเพิ่มอีก 200 ล้านบาท เพื่อผลิตแก้วก้านสำหรับใช้กับเครื่องดื่มทุกประเภทขึ้น
โดยเน้นที่รูปทรงการออกแบบและคุณภาพเป็นสำคัญ
"เราตั้งเป้ายอดขายทั้งในและต่างประเทศในปีแรกไว้ประมาณ 150-200 ล้านบาท
หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 80% โดยบริษัทมีกำไรการผลิตแก้วก้านนี้ปีละประมาณ
9 ล้านชิ้น" ซึ่งเมื่อผลิตและจำหน่ายแก้วก้านแล้ว ก็จะทำให้โอเชียนกลาสเป็นบริษัทผู้ผลิตภาชนะเครื่องแก้วสำหรับใช้บนโต๊ะอาหารครบทุกประเภท
สุภาวัลย์กล่าว
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทในช่วงแรกนี้จะมี 2 ประเภท คือ ประเภทฮ็อตเอ้นคัทติ้ง
ซึ่งขอบปากแก้วจะหนา คงทน และประหยัด ส่วนประเภทที่ 2 เรียกว่า โคล์ดคัทติ้ง
ซึ่งขอบปากแก้วจะบาง เรียบสนิท ให้สุนทรียภาพในการดื่มมากกว่า
ในช่วงแรกบริษัทจะออกผลิตภัณฑ์แก้วก้านมา 2 ชุด คือ ชุด BANQUET SERIES
ซึ่งเนฮ็อตเอ็นคัทติ้ง มีอยู่ 3 แบบ เหมาะสำหรับใช้ในงานจัดเลี้ยงและบนโต๊ะอาหาร
และอีกชุดหนึ่ง คือ BASIC SERIES ซึ่งเป็นโคล์ดคัทติ้ง ชุดนี้จะมี 12 แบบให้เลือก
เหมาะสำหรับจัดโต๊ะอาหารแบบสากลนิยม ที่ต้องการความพิถีพิถันในการเลือกใช้แก้วให้มีความเหมาะสมกับเครื่องดื่ม
"ในอนาคตเราจะพยายามออกชุดแก้วไวน์ใหม่ ๆ ให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น
จากที่ขณะนี้มีเพียง 2 ชุดเท่านั้น" สุภาวัลย์กล่าวพร้อมทั้งให้ความเห็นต่อภาวะการแข่งขันในประเทศว่า
"การแข่งขันในประเทศตอนนี้มีมากขึ้น แต่ก็จะมีการแบ่งตลาดกันไป ซึ่งของเราก็เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดีก็จะมีตลาดของตัวเอง
การนำเข้าจากยุโรปอเมริกามากขึ้น จากผลของการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าเครื่องแก้วลงจาก
55% ปีหน้าก็จะเป็น 30% แต่โดยเฉลี่ยราคาของเขายังแพงกว่าเรา แต่ถ้านำเข้าจากอินโดนีเซียก็จะมีส่วนกระทบบ้างแต่ไม่มาก"
เธอมองว่า การแข่งขันกับสินค้านำเข้า โอเชียนกลาสจะได้เปรียบในเรื่องของราคาที่ถูกกว่า
แต่มีคุณภาพที่ได้มาตรฐานใกล้เคียงกัน ขณะที่ตลาดในประเทศนั้นจะได้เปรียบในเรื่องของคุณภาพที่ดีกว่า
เพราะมีการควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนการผลิต
ปัจจุบัน โอเชียนกลาสผลิตแก้วทุกชนิดทั้งหมดประมาณปีละ 120 ล้านชิ้น โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายในประเทศและต่างประเทศในสัดส่วน
55% และ 45% ตามลำดับ
สำหรับมูลค่าตลาดรวมของตลาดเครื่องแก้วในขณะนี้มีอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท
ซึ่งเป็นยอดทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้า โดยมีแนวโน้มการขยายตัวของตลาดประมาณ
5-10% ต่อปีจากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด
ทั้งนี้ สุพจน์ ศรีอุดมพร ผู้จัดการทั่วไปของโอเชียนกลาส เปิดเผยว่า ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น
บริษัท โอเชียน ซาซากิกลาส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างโอเชียนกลาส
และบริษัทซาซากิกลาส ของญี่ปุ่น ถือในสัดส่วน 90% และ 10% ตามลำดับ จะเป็นผู้ดูแล
โดยมีตลาดหลัก ๆ อยู่ 4 ภูมิภาค คือ ตลาดเอเชีย เช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย
อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น ตลาดยุโรป ตลาดเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น
ไต้หวัน เกาหลี และตลาดที่ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ส่วนตลาดในประเทศนั้น โอเชียนกลาสจะดูแลโดยตรง ซึ่งมีตลาดหลักอยู่ 3 ตลาด
คือ ตลาดผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ภัตตาคารต่าง ๆ และธุรกิจบันเทิง
ตลาดธุรกิจค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของโอเชียนกลาสมีจำหน่ายในเกือบทุกห้าง
ทุกสาขา และตลาดที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้ คือ ตลาดพรีเมียม หรือกลุ่มที่ซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องแก้วไปเพื่อการโปรโมตสินค้า
แจกแถม เป็นต้น
ปัจจุบันตลาดพรีเมียมสามารถทำรายได้เข้าบริษัทได้ประมาณ 40% ของรายได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม โอเชียนกลาสมีนโยบายที่จะรุกตลาดโรงแรม ร้านอาหาร และร้านค้าปลีกให้มากขึ้น
และลดสัดส่วนตลาดพรีเมียมลง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง
สุภาวัลย์ ชี้แจงว่า "ถ้าเป็นไปได้เราพยายามลดในส่วนของตลาดพรีเมียมลง
เพราะเป็นตลาดที่ไม่แน่นอน อย่างปีนี้ซื้อ ปีหน้าอาจจะไม่ซื้อ เช่น โกดัก
ปีที่แล้วซื้อ ปีนี้อาจจะไม่ทำแคมเปญ แต่เราก็พยายามที่จะเปลี่ยนไปยังสินค้าอื่น
ๆ ด้วย คงไม่ใช่เฉพาะตลาดฟิล์ม เป๊ปซี่ โคล่า เท่านั้น"
เธอ กล่าวถึงแผนการดำเนินงานในอนาคตของโอเชียนกลาสด้วยว่า นอกจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคแล้ว
ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า บริษัทอาจจะมีการเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิตอยู่กว่า
90% แล้ว
อย่างไรก็ตาม การขยายการลงทุนในอนาคต บริษัทยังคงจะเน้นในเรื่องของเครื่องแก้วต่อไป
เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ถนัด เธอกล่าวตบท้าย