|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์ชาติชี้อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงเป็นแนวโน้มที่ดี และเชื่อจะลดลงต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีจากแรงกดดันหลายๆ ด้านที่ผ่อนคลายลง แต่ก็ยังคงจับตาตัวแปรหลักโดยเฉพาะราคาน้ำมันอยู่ สำหรับการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้นจะต้องพิจารณาถึงเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นสำคัญ
นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงตัวเลขทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงเดือนกรกฎาคม 2549 มีการปรับลดลงว่า ถือเป็นแนวโน้มที่ดี และหากดูไส้ในก็จะพบว่า การปรับลดลงของอัตราเงินเฟ้อทั้ง 2 ตัว ไม่ใช่เกิดจากผลของปีฐานเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากแรงกดดันเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง ดังนั้นธปท.มองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลง
“หากดูตัวเลขอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราทั่วไปเพิ่มขึ้นเดือนต่อเดือนมีอัตราที่ลดลงทั้ง 2 ตัว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 0.2% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ระดับ 0% ฉะนั้นแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อเริ่มที่จะผ่อนลง เป็นแนวโน้มที่ดีขึ้น และเชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อัตราแนวโน้มจะเริ่มลดลง”
นายบันฑิต กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มลดลงมีด้วยกัน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. การปรับขึ้นของราคาสินค้าตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้มีการปรับราคามาพอสมควรแล้ว โดยเฉพาะเรื่องค่าขนส่ง ดังนั้น ภาวะที่ราคาสินค้าจะปรับขึ้นตามราคาน้ำมันในอนาคตจะลดลงเทียบกับช่วงที่ผ่านมา 2. ภาวะเศรษฐกิจที่ธปท.ประเมินว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะชะลอตัว สร้างแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปลดลง และ 3.แรงกดดันด้านอื่นๆ ซึ่งภาคธุรกิจคาดหวังอนาคตจะไม่สูง รวมไปถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างก็จะไม่มาก
ทั้งนี้ ในอนาคตคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองว่า อัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาวะการใช้จ่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อเศรษฐกิจทำให้ความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) เริ่มน้อยลง อย่างไรก็ตามกนง.จะติดตามดูอัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงอย่างชัดเจนต่อไปหรือไม่ในเดือนต่อๆ ไป รวมไปถึงตัวแปรหลักด้านราคาน้ำมันจะเป็นเช่นไร สิ่งเหล่านี้ต้องติดตามดูต่อไป
สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งขณะนี้มีการดำเนินโยบายการเงินแบบเข้มงวดนั้น นายบัณฑิต กล่าวว่า กลุ่มประเทศหลัก 3 ประเทศ ยังคงมีทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอยู่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละประเทศเป็นสำคัญ
ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีการไหลเข้าออกมากในช่วงที่ผ่านมานั้น มองว่านักลงทุนจะให้ความสำคัญปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของแต่ละประเทศมากกว่าจะดูส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยหากเป็นการลงทุนระยะยาวก็จะดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ถ้านักลงทุนคิดถึงส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นเพียงการลงทุนระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจในประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญต้องดูว่าอัตราดอกเบี้ยระดับไหน จึงจะเหมาะสมต่อเศรษฐกิจ
“แบงก์ชาติจะให้ความสำคัญเสถียรภาพเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดโลกมองไม่อ่อนตัวมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนเศรษฐกิจโลกได้ แบงก์ชาติจึงต้องดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศไม่สูงมาก ดุลบัญชีเดินสะพัดสมดุลหรือขาดดุลไม่มาก เงินสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่ง และมีหนี้ต่างประเทศที่ต่ำ ปัจจุบันเสถียรภาพเศรษฐกิจดีพอสมควร” นายบัณฑิตกล่าว
นอกจากนี้ จากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือ ไข้หวัดนกรอบใหม่ และสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ธปท.จะติดตามดูผลกระทบต่างๆ อยู่เสมอว่าจะมีต่อเศรษฐกิจหรือไม่ ต่อเนื่องแค่ไหน ซึ่งขณะนี้ก็ยังจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป
|
|
|
|
|