|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
DCON ปรับกลยุทธ์ธุรกิจหลังสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย เล็งโหมโรงส่งสินค้าคอนกรีตมวลเบารูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ CELLULAR หรือ CLC หลังตลาดที่เชียงใหม่ตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมปรับรูปการพัฒนาโครงการจัดสรร ดึงบริษัทมืออาชีพขายบ้านในโครงการอรดาแลนด์ หากยอดขายต่ำกว่า 50% หวังลดความเสี่ยงทางด้านเงินทุน พร้อมขยับขยายลงทุนโครงการตามแหล่งท่องเที่ยว ชี้ชะอำและหัวหิน มีโอกาสเปิดโครงการใหม่
นายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นสำเร็จรูปและเสาเข็มอัดแรงภายใต้ยี่ห้อ "DCON" เปิดเผยถึงการปรับแผนธุรกิจของบริษัท ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวว่า ทางบริษัทได้กำหนดแนวทางที่จะพยายามรักษาอัตราการสร้างรายได้ของบริษัทให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะต้องมีอัตราเติบโตของรายได้ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับรายได้ที่ 620 ล้านบาท ในปี 2548
โดยความพยายามที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้น จะถูกผลักดันโดยการออกผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบารูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ CELLULAR LIGHT WEIGHT CONCRETE หรือ CLC ใช้กรรมวิธีในการปล่อยให้คอนกรีตแข็งตัวตามธรรมชาติโดยไม่ต้องอบไอน้ำ และสามารถใช้ปูนฉาบทั่วไปได้ น้ำซึมผ่านได้ยากกว่า เนื่องจากโพรงอากาศแต่ละเซลล์ไม่ชิดติดกันทำให้มีโอกาสการเกิดเชื้อราน้อย ซึ่งคอนกรีตมวลเบา CLC ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการฉาบปูนในการก่อสร้างได้ประมาณ 3.60 สตางค์ ขณะที่ราคาขายจะแพงกว่าระบบ AAC ประมาณ 2 บาท
"ทางบริษัทได้นำคอนกรีตมวลเบา CLC ทำตลาดที่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่ง ซึ่งตลาดให้การตอบรับค่อนข้างดี แม้ว่ายอดขายประมาณ 1,000- 2,000 ก้อนต่อวัน แต่มั่นใจว่าด้วยระบบเทคโนโลยีและสินค้าที่มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพจะทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภคและของผู้ประกอบการ โดยภายในเดือนตุลาคมนี้ ทางบริษัทจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่" นายวิทวัสกล่าวและว่า
ในส่วนของธุรกิจโครงการอสังหาฯ ประธานกรรมการบริหารกล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องปรับแนวทางการลงทุนในโรงงานสำเร็จรูปขนาดย่อม (Mini Factory) โดยตามแผนเดิมจะพัฒนาจำนวน 90 หลัง แต่ขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 50 หลัง แยกเป็นส่วนที่ขายไปแล้ว 40 หลังอีก 10 หลังเป็นการปล่อยเช่า ส่วนที่เหลืออีก 30 หลัง จะต้องมียอดสั่งจองจากลูกค้าเข้ามาก่อนจึงจะดำเนินการก่อสร้าง หรือเป็นรูปแบบสั่งสร้าง
นอกจากนี้การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวอรดาแลนด์ จะยึดเน้นทางที่จะลงทุนโดยไม่สร้างความเสี่ยงให้แก่บริษัท แม้ว่าขณะนี้ทางบริษัทได้ลงทุนสร้างบ้านเดี่ยว (บ้านพร้อมอยู่) จำนวน 118 หลัง ราคาขายประมาณ 1.74-2.74 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ช่วงเปิดการขายล่วงหน้าประมาณเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 10% โดยตามแผนที่วางไว้ หากในช่วงเดือนที่เหลือยอดขายในโครงการบ้านเดี่ยวทำได้ไม่ถึง 50% ทางบริษัทจะดึงบริษัทบริหารการขายเข้ามาทำการตลาดและการขายให้
"บริษัทบริหารการขายที่ทาง DCON มองอยู่ จะเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางด้านการขาย ไม่ว่าบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ในเครือแสนสิริ บริษัทฮาริสัน ซึ่งมีบริษัทเสนอตัวเข้ามาแต่ไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากต้องรอผลของการขาย แต่สิ่งสำคัญแล้ว ทางบริษัทต้องการบริหารความเสี่ยงจากเงินที่ได้ลงทุน ไม่ให้จมไป และตั้งเป้าภายในไตรมาสแรกของปี 2550 ต้องดำเนินการโอนได้หมด" นายวิทวัสกล่าว
สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวอรดาแลนด์ มีเนื้อที่พัฒนา 33 ไร่ แต่นำมาพัฒนาในส่วนแรกประมาณ 22 ไร่ ส่วนที่เหลืออีก 9 ไร่จะตรงกันข้ามกับที่ดินผืนดังกล่าว โดยมีถนนขั้นผ่านที่ดินทั้งสองแปลง อย่างไรก็ตาม หากจะมีการลงทุนในโครงการใหม่ทางบริษัทจะเน้นการตลาดแบบสั่งสร้าง เป็นต้น
นายวิทวัสกล่าวว่า ทางบริษัทยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนโครงการตามแหล่งท่องเที่ยวที่ติดชายทะเล เช่น ชายหาดหัวหินและชะอำ เนื่องจากมีโอกาสที่จะสร้างรายได้สูงกว่า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อที่ดิน ซึ่งรูปแบบการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการบ้านหลังที่ 2 ที่ความต้องการในตลาดดังกล่าวยังเติบโต เช่น นักลงทุนจากต่างประเทศที่มีกำลังซื้อและชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย ส่วนรูปแบบการพัฒนาจะมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับเนื้อที่
"ในใจแล้วคิดว่าจะหาที่ดินประมาณ 30 ไร่ที่อยู่ใกล้ชายทะเล ซึ่งอาจจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม จำนวนห้องประมาณ 500 ห้องราคาขายประมาณ 1.8 ถึงกว่า 3 ล้านบาท แต่หากเป็นบ้านเดี่ยวติดชายทะเลจะขายประมาณ 20-30 ล้านบาท และหากไม่ติดทะเลอาจจะขายประมาณ 5-6 ล้านบาท โดยที่ดินแปลงดังกล่าวจะมีการเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อตัดสินใจซื้อ โดยยึดหลักความโปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท "
|
|
|
|
|