Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน1 สิงหาคม 2549
"ดีคอน" พลิกเกมสู้ศก.ทรุดรักษายอดขายดันสินค้าใหม่-ดึงบัวทอง-พลัสฯขายบ้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ดีคอนโปรดักส์

   
search resources

ดีคอนโปรดักส์, บมจ.
Real Estate




DCON ปรับกลยุทธ์ธุรกิจหลังสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย เล็งโหมโรงส่งสินค้าคอนกรีตมวลเบารูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ CELLULAR หรือ CLC หลังตลาดที่เชียงใหม่ตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมปรับรูปการพัฒนาโครงการจัดสรร ดึงบริษัทมืออาชีพขายบ้านในโครงการอรดาแลนด์ หากยอดขายต่ำกว่า 50% หวังลดความเสี่ยงทางด้านเงินทุน พร้อมขยับขยายลงทุนโครงการตามแหล่งท่องเที่ยว ชี้ชะอำและหัวหิน มีโอกาสเปิดโครงการใหม่

นายวิทวัส พรกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นสำเร็จรูปและเสาเข็มอัดแรงภายใต้ยี่ห้อ "DCON" เปิดเผยถึงการปรับแผนธุรกิจของบริษัท ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวว่า ทางบริษัทได้กำหนดแนวทางที่จะพยายามรักษาอัตราการสร้างรายได้ของบริษัทให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ โดยคาดว่าในปีนี้บริษัทจะต้องมีอัตราเติบโตของรายได้ประมาณ 70% เมื่อเทียบกับรายได้ที่ 620 ล้านบาท ในปี 2548

โดยความพยายามที่จะทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้น จะถูกผลักดันโดยการออกผลิตภัณฑ์คอนกรีตมวลเบารูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ CELLULAR LIGHT WEIGHT CONCRETE หรือ CLC ใช้กรรมวิธีในการปล่อยให้คอนกรีตแข็งตัวตามธรรมชาติโดยไม่ต้องอบไอน้ำ และสามารถใช้ปูนฉาบทั่วไปได้ น้ำซึมผ่านได้ยากกว่า เนื่องจากโพรงอากาศแต่ละเซลล์ไม่ชิดติดกันทำให้มีโอกาสการเกิดเชื้อราน้อย ซึ่งคอนกรีตมวลเบา CLC ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการฉาบปูนในการก่อสร้างได้ประมาณ 3.60 สตางค์ ขณะที่ราคาขายจะแพงกว่าระบบ AAC ประมาณ 2 บาท

"ทางบริษัทได้นำคอนกรีตมวลเบา CLC ทำตลาดที่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่ง ซึ่งตลาดให้การตอบรับค่อนข้างดี แม้ว่ายอดขายประมาณ 1,000- 2,000 ก้อนต่อวัน แต่มั่นใจว่าด้วยระบบเทคโนโลยีและสินค้าที่มีส่วนช่วยดูแลสุขภาพจะทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภคและของผู้ประกอบการ โดยภายในเดือนตุลาคมนี้ ทางบริษัทจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่" นายวิทวัสกล่าวและว่า

ในส่วนของธุรกิจโครงการอสังหาฯ ประธานกรรมการบริหารกล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องปรับแนวทางการลงทุนในโรงงานสำเร็จรูปขนาดย่อม (Mini Factory) โดยตามแผนเดิมจะพัฒนาจำนวน 90 หลัง แต่ขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 50 หลัง แยกเป็นส่วนที่ขายไปแล้ว 40 หลังอีก 10 หลังเป็นการปล่อยเช่า ส่วนที่เหลืออีก 30 หลัง จะต้องมียอดสั่งจองจากลูกค้าเข้ามาก่อนจึงจะดำเนินการก่อสร้าง หรือเป็นรูปแบบสั่งสร้าง

นอกจากนี้การพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวอรดาแลนด์ จะยึดเน้นทางที่จะลงทุนโดยไม่สร้างความเสี่ยงให้แก่บริษัท แม้ว่าขณะนี้ทางบริษัทได้ลงทุนสร้างบ้านเดี่ยว (บ้านพร้อมอยู่) จำนวน 118 หลัง ราคาขายประมาณ 1.74-2.74 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ช่วงเปิดการขายล่วงหน้าประมาณเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 10% โดยตามแผนที่วางไว้ หากในช่วงเดือนที่เหลือยอดขายในโครงการบ้านเดี่ยวทำได้ไม่ถึง 50% ทางบริษัทจะดึงบริษัทบริหารการขายเข้ามาทำการตลาดและการขายให้

"บริษัทบริหารการขายที่ทาง DCON มองอยู่ จะเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทางด้านการขาย ไม่ว่าบริษัท บัวทอง พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ในเครือแสนสิริ บริษัทฮาริสัน ซึ่งมีบริษัทเสนอตัวเข้ามาแต่ไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากต้องรอผลของการขาย แต่สิ่งสำคัญแล้ว ทางบริษัทต้องการบริหารความเสี่ยงจากเงินที่ได้ลงทุน ไม่ให้จมไป และตั้งเป้าภายในไตรมาสแรกของปี 2550 ต้องดำเนินการโอนได้หมด" นายวิทวัสกล่าว

สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวอรดาแลนด์ มีเนื้อที่พัฒนา 33 ไร่ แต่นำมาพัฒนาในส่วนแรกประมาณ 22 ไร่ ส่วนที่เหลืออีก 9 ไร่จะตรงกันข้ามกับที่ดินผืนดังกล่าว โดยมีถนนขั้นผ่านที่ดินทั้งสองแปลง อย่างไรก็ตาม หากจะมีการลงทุนในโครงการใหม่ทางบริษัทจะเน้นการตลาดแบบสั่งสร้าง เป็นต้น

นายวิทวัสกล่าวว่า ทางบริษัทยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนโครงการตามแหล่งท่องเที่ยวที่ติดชายทะเล เช่น ชายหาดหัวหินและชะอำ เนื่องจากมีโอกาสที่จะสร้างรายได้สูงกว่า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อที่ดิน ซึ่งรูปแบบการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการบ้านหลังที่ 2 ที่ความต้องการในตลาดดังกล่าวยังเติบโต เช่น นักลงทุนจากต่างประเทศที่มีกำลังซื้อและชื่นชอบแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย ส่วนรูปแบบการพัฒนาจะมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับเนื้อที่

"ในใจแล้วคิดว่าจะหาที่ดินประมาณ 30 ไร่ที่อยู่ใกล้ชายทะเล ซึ่งอาจจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม จำนวนห้องประมาณ 500 ห้องราคาขายประมาณ 1.8 ถึงกว่า 3 ล้านบาท แต่หากเป็นบ้านเดี่ยวติดชายทะเลจะขายประมาณ 20-30 ล้านบาท และหากไม่ติดทะเลอาจจะขายประมาณ 5-6 ล้านบาท โดยที่ดินแปลงดังกล่าวจะมีการเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทเพื่อตัดสินใจซื้อ โดยยึดหลักความโปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท "   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us