|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักวิชาการชี้แบงก์ชาติปรับประมาณการเศรษฐกิจเพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป คาดอัตราเงินเฟ้อช่วงไตรมาส 3-4 ยังไม่ขยับลงมากนักจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง พร้อมเตรียมปรับประมาณการจีดีพีในปีหน้า คาดในช่วงปลายปีนี้-ปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้นหลังสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐกรอาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) กล่าวว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมาอยู่ที่ระดับ 4-5% จากเดิมอยู่ที่ 4.25-5.25% ถือว่าปรับไม่เยอะ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งการปรับมาอยู่ในระดับดังกล่าวก็ไม่แตกต่างกับที่หลายฝ่ายและหลายหน่วยงานคาดการณ์เอาไว้เฉลี่ยที่ระดับ 4% อยู่แล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เศรษฐกิจในช่วงปีหน้า ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการเมืองมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดีขึ้นกว่าปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าสิ่งที่ต้องจับตาดูเป็นอย่างมากมาจากปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งเรื่องราคาน้ำมัน และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีหลายประเทศจะลดความร้อนแรงเศรษฐกิจ อาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวลง แต่จะมีการชะลอตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือไม่ และการส่งออกยังจะเติบโตได้ดีอีกไหนและจะกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศไทยอย่างไรบ้าง
“สิ่งที่ต้องจับตาดูในช่วงปีหน้า คือ ราคาน้ำมันและเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐและจีนจะมีวิธีการลดความร้อนแรงของการขยายตัวเศรษฐกิจมากเกินไปอย่างไรบ้าง ซึ่งประเทศสหรัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัว ทำให้ในช่วงปีหน้าจะเป็นช่วงดูผลลัพธ์ว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลการลดความร้อนแรงได้แค่ไหน”
นางสาวอุสรา กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ (ไทย) ตั้งแต่ต้นปีมีการประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ระดับ 4.1% และปีหน้าอยู่ที่ระดับ 5.2% โดยปีนี้เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ตามที่คาดการณ์ไว้ เมื่อดูภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันก็สอดคล้องกับความเป็นไปได้ที่ประเมินไว้ แต่อาจจะมีการทบทวนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า เพราะเศรษฐกิจน่าจะได้รับอนิสงค์จากปัจจัยต่างๆ ที่ดีต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้และส่งผลให้ปีหน้าเติบโตได้ดีขึ้น ด้านการปรับอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็เชื่อว่าจะหยุดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่จะมีขึ้นครั้งต่อไปวันที่ 8 สิงหาคมนี้ ที่ระดับ 5.25%เท่านั้น
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการโครงการการจัดการภาครัฐและภาคเอกชนหลักสูตรการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การที่ธปท.ปรับลดประมาณการณ์ดังกล่าวเนื่องจากเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะยังอยู่ในระดับที่สูงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับธปท.จะพิจารณาอัตราเงินเฟ้อเป็นหลักในการปรับประมาณการเศรษฐกิจโดยหากอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่สูงธปท.ก็อาจจะต้องคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป
“เงินเฟ้อในครึ่งปีหลังไม่น่าจะปรับลดลงมามาก เชื่อว่าน่าจะทรงตัวแล้วโดยเงินเฟ้อทั่วไปโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 5.5-6%โดยเป็นผลมาจากราคาน้ำมัน เนื่องจากแบงก์ชาติจะดูแลเงินเฟ้อเป็นหลัก”
ทั้งนี้ จากปัจจัยทางการเมืองที่เริ่มมีความชัดเจนขึ้นเชื่อว่าในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้บรรยากาศในการลงทุน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะเริ่มกระเตื้องขึ้น แต่ในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐานอาจจะส่งผลกระทบบ้าง ขณะที่ภาคเอกชนเริ่มเห็นความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น ส่งผลให้มีการเตรียมขยายการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับประชาชนเริ่มมีความมั่นใจกล้าที่จะใช้จ่ายมากขึ้น
สำหรับปัจจัยภายนอกนั้นคาดว่าในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกหรือไม่คงต้องพิจารณาจากเศรษฐกิจก่อนเนื่องจากในปัจจุบันเศรษฐกิจของสหรัฐก็ยังอยู่ในระดับที่ดีอยู่ การใช้จ่ายของประชาชน ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการลงทุนก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของประเทศไทยนั้นเชื่อว่าทั้งปีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจน่าจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 4% โดยคาดว่าในไตรมาส4 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังบรรยากาศทางการเมืองชัดเจนขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคธุรกิจที่จะเข้ามาช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ดี เพราะในไตรมาสนี้จะเป็นฤดูของการท่องเที่ยวซึ่งนักท่องเที่ยวจะเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย
|
|
|
|
|