แบงก์นครหลวงไทยประกาศเป็นยูนิเวอร์เซลแบงกิ้ง พร้อมลงสนามแข่งกับแบงก์ใหญ่
เน้นจุดเด่นพนักงานเป็นหัวใจขายผลิตภัณฑ์ มากกว่าใช้เทคโนโลยี เพราะรู้ตัวเสียเปรียบคู่แข่ง
และมีเครือข่ายธุรกิจการเงินครบ ที่จะเป็นทางเลือกหลากหลาย ให้ลูกค้า เตรียมแปรรูปตามแผนปลายปีนี้
หลังฟันกำไรสุทธิต่อเนื่อง คาดปีนี้กำไรเพิ่ม 10% จากปีที่แล้ว เป็น 2.1
พันล้านบาท ทำให้จ่ายเงินปันผลได้เแห่งแรกของแบงก์ทั้งระบบ 40 สตางค์ต่อหุ้น
ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจไทยปี 2540 ยันซื้อ บล. หยวนต้าแพงกว่าบุ๊กไม่มาก เพราะ
บล.กิมเอ็งใจดีแถมเงินสดให้ 120 ล้านบาท
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า
ธนาคารมีเป้า หมายจะดำเนินธุรกิจครบวงจร เปลี่ยนจากเดิมที่จะวางเป้าหมายเป็นธนาคารเอสเอ็มอี
ขณะนี้ธนาคารพร้อมทุกๆ ด้านที่จะดำเนินธุรกิจแข่งขันกับกลุ่มธนาคาร อื่นๆ
ได้แล้ว
ปีที่ผ่านมา หลังจากควบรวม กับธนาคารศรีนคร ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร
รวมถึงระบบงาน ต่างๆ เพื่อรองรับเป้าหมายใหม่ ที่ จะให้บริการครบวงจร เตรียมดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์ภายใต้
เกณฑ์ใหม่ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะเปิดเสรีการธุรกิจการเงินในอนาคต
เกณฑ์ ธปท.ใหม่ ส่งผลธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งต้องปรับเปลี่ยน และหาช่องดำเนินธุรกิจชัด
เจนมากขึ้น โดยมี 2 ทางเลือก คือ
ยกระดับตัวเองให้ดำเนินธุรกิจ หรือเปิดบริการครบวงจร ซึ่งจะอาศัยเครือข่าย
และดำเนินธุรกิจเฉพาะด้าน ตามความสามารถ และความถนัด ธนาคารพาณิชย์ที่ เลือกทางนี้
ส่วนใหญ่เป็นธนาคารขนาดหรือบริษัทเงินทุนขนาดเล็ก
ธนาคารนครหลวงไทย ตั้งแต่ควบรวมกิจการกับธนาคารศรีนคร และปรับเปลี่ยนทุกๆ
ด้าน พร้อมจะดำเนินธุรกิจครบวงจร ขณะนี้ยังเหลือระบบคอมพิวเตอร์ ที่จะเสร็จภายในกลางปีนี้
ระบบดังกล่าว จะเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ทั้ง 2 ธนาคารเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้น ธนาคาร คาดจะพร้อมทุกๆ ด้าน ที่จะลงสนามแข่งกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้
ยันซื้อหยวนต้าไม่แพง
ธนาคารเพิ่มเครือข่ายดำเนินธุรกิจครบวงจรมากขึ้น โดยซื้อบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า
จาก บล.กิมเอ็ง ในเครือกลุ่มกิมเอ็งจาก สิงคโปร์ ที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ครบราคา
270 ล้านบาท สูงกว่าราคามูลค่าบัญชี (บุ๊ค) บล. หยวนต้าเกือบ 2 เท่า
แต่นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ธนาคารจะได้เงินสดที่เป็นรายได้เดิมของ บล.หยวนต้า
120 ล้านบาท เท่ากับธนาคารนครหลวงไทย ซื้อ บล.หยวนต้าสูงกว่าราคาบุ๊กไม่มาก
การซื้อกิจการนี้ เสริมเครือ ข่ายให้บริการธนาคาร จากเดิมที่ให้บริการด้านธุรกิจธนาคาร
แบงกิ้ง บริษัทประกันชีวิต บริษัท ประกันภัย ที่เริ่มให้บริการกับลูกค้าได้แล้ว
ขณะนี้ พนักงานจะสามารถ เสนอบริการด้านประกันชีวิตให้ลูกค้าได้ อาจเสนอควบกับสินเชื่อ
เคหะ คาดว่าภายในกลางปีนี้ ธุรกิจ ด้านหลักทรัพย์จะเริ่มเปิดบริการได้ เป้าหมายต่อไป
จะขอใบอนุญาตตั้ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ซึ่งเมื่อมีเครือข่ายครบ
จะให้บริการลูกค้าครบวงจรตามเป้าหมาย
เป้าสินเชื่อปีนี้ 2.5 หมื่นล้าน
ธนาคารตั้งเป้าหมายปล่อยสิน เชื่อปี 2546 สุทธิ 25,000 ล้านบาท ขยายตัวประมาณ
8% ของพอร์ตสิน เชื่อทั้งหมดขณะนี้ ที่มีประมาณ 320,000 ล้านบาท เงินฝากเพิ่มขึ้นประมาณ
20,000 ล้านบาท จากเงินฝากของแบงก์ทั้งหมด ขณะนี้ประมาณ 400,000 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 5% รายได้ค่า ธรรมเนียม คาดว่าทำได้ทั้งปีนี้ 1,200 ล้านบาท 5%
ของรายได้ทั้งหมด
ปี 2545 ธนาคารปล่อยสินเชื่อสุทธิประมาณ 18,000-19,000 ล้านบาท เติบโต 5-6%
8,000 รายเป็นสินเชื่อที่อนุมัติประมาณ 61,000 ล้านบาท จากการที่ยอดปล่อยสินเชื่อสุทธิน้อยมาก
เมื่อเทียบ การอนุมติสินเชื่อ เนื่องจากธนาคารมีลูกหนี้ดีมาก จึงชำระคืนเงินกู้ได้ตามกำหนด
ส่งผลตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ธนาคาร 5% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด
เป็นมูลหนี้เพียงประมาณ 500 ล้านบาท
"ธนาคารต้องการจะเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่นๆ เพื่อทดแทนรายได้ส่วนต่างดอกเบี้ย
ที่ผ่านมา อัตราเพิ่มของรายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมรายได้ค่าธรรมเนียม
1% ของรายได้ทั้งหมด ขณะนี้เพิ่มเป็น 5% สัดส่วนโครง สร้างรายได้ธนาคาร รายได้ที่เป็นดอกเบี้ยประมาณ
79% ที่เหลือเป็นรายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ย 21%" นาย อภิศักดิ์กล่าว
จ่ายปันผล 40 สตางค์ต่อหุ้น
การปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มต่อเนื่อง ลูกค้าส่วนใหญ่ เป็นลูกค้าดี ส่งผลธนาคารผลประกอบการดี
ปี 2546 ธนาคารคาดว่าจะกำไรสุทธิเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 2545 ที่ 2,100
ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.20 บาท ถือเป็นแนวโน้มกำไรดีมาก
ธนาคารคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ภายในปีนี้ โดยจะนำเงินจากกำไรสุทธิปี
2545 สัด ส่วน 30-35% คิดเป็นจ่ายเงินปันผล 40 สตางค์ต่อ หุ้น แต่ต้องขออนุมัติผู้ถือหุ้น
ซึ่งกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก่อนแปรรูปปีนี้
ความพร้อมผลประกอบการ ฐานะเงินกองทุน รวมทั้งเป้าหมายดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน
ทำให้ธนาคาร มั่นใจจะแปรรูปธนาคารได้ภายในปลายปีนี้ตามแผน เดิม โดยจะทยอยกระจายหุ้นให้ประชาชน
จะไม่ ทำครั้งเดียว
มีแผนจะนำหุ้นสามัญซื้อขายในตลาดหลัก ทรัพย์ ขณะนี้กำลังติดต่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อ
ถือ เพื่อทำเรตติ้ง อีกทั้งหารือผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกองทุน ฟื้นฟูฯ นำหุ้นส่วนกองทุนฟื้นฟูฯ
กระจายให้นักลงทุน รายย่อยไม่ต่ำกว่า 15% ของทุนจดทะเบียนธนาคาร ตามเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์
พร้อมสู้แบงก์ใหญ่เต็มที่
ธนาคารพร้อมทุกๆ ด้าน จะดำเนินธุรกิจครบ วงจร โดยมีเป้าหมายจะแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่
เนื่องจากธนาคารพร้อมแล้วด้านเงินทุน ขณะนี้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามมาตรฐานบีไอเอส
16% ด้านเครือข่ายให้บริการ มีสาขาประมาณ 363 สาขา พนักงานเฉพาะสาขาประมาณ
3,800 คน พันธมิตรและเครือข่ายธุรกิจการเงินครบทุกๆ ด้าน พร้อมอบรมพนักงานให้สามารถจะเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ให้ลูกค้า เพื่อมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
ใช้พนักงานเป็นจุดขาย
ธนาคารจะเสนอความสามารถพนักงานเป็นจุด ขายธุรกิจครบวงจร ขณะที่ที่ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ
ใช้เทคโนโลยีช่วยให้บริการ ธนาคารเชื่อว่า การให้ พนักงานเสนอบริการ ทำได้ดีกว่าใช้เทคโนโลยี
เพราะธนาคารยังไม่พร้อมด้านเทคโนโลยี
แม้ต้นทุนพนักงานสูงกว่าใช้เครื่องก็ตาม แต่ มั่นใจว่าจะสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ได้มาก
และดีกว่า ทำให้รายได้สุทธิ กำไรมากกว่าใช้เทคโนโลยี
"ขณะนี้ต้นทุนพนักงานธนาคารประมาณ 22,000 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบผลิต
ภัณฑ์ที่จะเสนอ และสร้างรายได้ กำไรสุทธิแน่นอน ผมเชื่อว่า พนักงานจะขายผลิตภัณฑ์ดีกว่าเครื่อง
โดยพฤติกรรมคนไทย ยังต้องพึ่งพาอาศัย ไว้ใจคนมากกว่าเครื่อง จึงเป็นจุดเด่นของแบงก์"
นายอภิศักดิ์กล่าว
ควบกิจการเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้น
นายอภิศักดิ์กล่าวต่อไปว่า การควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ขณะนี้ หากเกิดขึ้น
จะเป็น เหตุผลแตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 การควบกิจการ
เพื่อแก้ไขปัญหาฐานะ เงินกองทุน หรือดูแลลูกค้า
แต่ปัจจุบัน สถาบันการเงินไทยพ้นวิกฤตแล้ว การควบกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
สร้างมูลค่า เพิ่มให้ผู้ถือหุ้น เพราะช่วยลดต้นทุนดำเนินงาน
กรณีข่าวควบรวมกิจการธนาคารพาณิชย์ ที่ระยะนั้นมีถี่ ธนาคารถือว่าเป็นกลุ่มที่ต้องถูกควบ
รวม แต่นายอภิศักดิ์กล่าวว่าขณะนี้ ยังไม่ได้รับคำสั่ง หรือหารือจากกองทุนฟื้นฟูฯ
ทั้งหมดนี้ ต้องขึ้นกับผู้ถือหุ้นว่าพิจารณาข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบ หากควบรวมกิจการ
แล้วทำให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์ โดยเพิ่มมูลค่าของหุ้น ก็สามารถทำได้