|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ศุภวุฒิ สายเชื้อ" เผยต่างชาติยังกังวลการเมืองไทย ชี้ต้องรอภาพรัฐบาลชัดเจนประกอบกับการต้องรอสัญญาณการปรับประมาณการการเติบโตของบจ.กระตุ้นดัชนี มองยาว 18 เดือน หุ้นแตะ 850 จุด เชื่อดอกเบี้ยไทยถึงจุดสูงสุดแล้วคาดมีแนวโน้มปรับลดลงปีหน้า ขณะที่ราคาน้ำมันปีนี้อยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้านฝ่ายวิจัยมองดัชนีปีนี้ 790 จุด แต่ถ้าการเมืองไม่ชัดเจนดัชนีอยู่ที่ระดับ 720-750 จุด ด้านสมาคมนักวิเคราะห์เชื่อไตรมาส 4 หุ้นดีขึ้น แต่การลงทุนอาจชะลอไปถึงต้นปีหน้า ขณะที่เครดิตสวิสมองตลาดหุ้นไต้หวัน,ไทย,สิงคโปร์มีโอกาสเข้าสู่ตลาดกระทิงได้
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA กล่าวถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2549 ว่านักลงทุนต่างชาติยังมีความไม่เข้าใจในเรื่องปัญหาการเมืองในประเทศค่อนข้างมากโดยนักลงทุนต่างชาติที่เป็นลูกค้ามีการสอบถามในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากมีความคลี่คลายในระดับหนึ่งทางการเมืองทำให้เห็นภาพการเดินหน้าในการแก้ปัญหาน่าจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลงทุนในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้หากมองภาพในระยะ 18 เดือนต่อจากนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นไปที่ระดับ 850 จุด แต่สัญญาณจะบ่งชัดถึงการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยคือเรื่องการปรับประมาณการในเรื่องการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนหลังจากก่อนหน้าบริษัทหลักทรัพย์ต่างปรับลดในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมาก ซึ่งหากบริษัทหลักทรัพย์เริ่มกลับมาปรับประมาณการในเรื่องดังกล่าวน่าทำให้ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
สำหรับการคาดการณ์การอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้อยู่ที่ 1% และในปีหน้าอยู่ที่ 3% อย่างไรก็ตามจะมีการปรับตัวเลขดังกล่าวหรือไม่จะต้องรอในช่วงไตรมาส 1 ในปี 2550 ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐจะมีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อใช้ประกอบ
ขณะที่อัตราการเติบโตของจีดีพีในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 4% โดยความสัมพันธ์ในเรื่องดังกล่าวต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติสะท้อนให้เห็นว่ามีการชะลอการลงทุนมาแล้ว ในส่วนของการลงทุนยังให้น้ำหนักในการลงทุนในที่ตลาดหุ้นมากกว่าพันธบัตรเนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ขณะที่ตลาดทองคำถือว่าเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้ซึ่งนักลงทุนอาจจะมีการแบ่งพอร์ตการลงทุนเพื่อป้องกันควาเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจที่ยังน่าสนใจลงทุน คือกลุ่มธนาคารหากปัญหาในเรื่องทางการเมืองมีความชัดเจน ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่น่าสนใจแต่จะต้องดูนโยบายของภาครัฐเกี่ยวกับการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้าลงทุนซึ่งหากเปิดช่องในเรื่องดังกล่าวจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการเติบโตอย่างโดดเด่น
นายศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้ ในภูมิภาคเอเชียประเด็นในเรื่องเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มขาขึ้น โดยในส่วนของเอเชียเหนือ เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลี และไต้หวัน การปรับตัวขึ้นของอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างรุนแรงทำให้อาจจะต้องมีการชะลอการปรับตัวขึ้นของเศรษฐกิจเพื่อให้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ประเทศไทยเงินเฟ้อน่าจะเข้าสู่ช่วงขาลงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะถึงจุดสูงสุดแล้ว โดยมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยอาจจะปรับตัวลดลงได้ในช่วงปีนี้ ซึ่งจะสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ที่มีโอกาสปรับขึ้นได้อีก
สำหรับปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทยถือว่าค่อนข้างได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวมากเนื่องจากประสิทธิในการใช้ประโยชน์จากน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน โดยมองว่าในปีนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 65 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และยังมีแนวโน้มว่าในช่วง 3-5 ปี ราคาน้ำมันจะปรับลดลงได้อีกเนื่องจากหลายประเทศจะหันมาให้ความสนใจเพื่อพัฒนาประสิทธิในการใช้ให้สูงขึ้นในอนาคตในส่วนของผู้ประกอบการผลกระทบในเรื่องดังกล่าวส่งผลทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการในภาคธุรกิจต้องประสบกับปัญหาต้นทุนในปรับตัวสูงสุดจากปัญหาเงินเฟ้อมากกว่าในส่วนของผู้บริโภคจึงทำให้กำไรจากการดำเนินธุรกิจในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมลดลง
"ปฎิเสธไม่ได้ว่าภูมิภาคเอชียยังมีความน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุน เนื่องจากแนวโน้มในการเติบโตของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในหลายประเทศยังมีแนวโน้มที่ดี แต่คงจะต้องรอให้ความกังวลในหลายๆ เรื่องมีความชัดเจนมากขึ้นก่อน" นายศุภวุฒิกล่าว
นายเอียน กิสบอร์น รองประธานฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หากการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมเป็นไปได้ด้วยดี ดัชนีสิ้นปีน่าจะอยู่ที่ 790 จุด แต่ถ้าหากเกิดปัญหาความขัดแย้งการประท้วงหรือการคัดค้าคาดว่าดัชนีสิ้นปีน่าจะอยู่ช่วงประมาณ 720-750 จุด
ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงไตรมาส 2 ปี 2550 เศรษฐกิจเริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากรัฐบาลที่จะเข้ามานั้นจะต้องใช้เวลาในการปฏิรูปต่างๆอีกครั้ง ทำให้อาจจะเกิดความล่าช้าของโครงการใหญ่ๆมีเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ดีในปีนี้ประเมินว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ที่ 3-4% สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวลดลงสะท้อนให้ถึงกำไรที่ลดลงตาม
สำหรับสัดส่วนการเข้ามาลงทุนนักลงทุนต่างชาติถือหุ้น 60% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีการซื้อขายในตลาด ซึ่งคาดว่าจะถือลงทุนในระยะยาวและจะมีการขายออกเมื่อราคาเหมาะสม
เครดิตสวิสชูตลาดหุ้นไทย
บทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียของ CREDIT SUISSE ระบุว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไต้หวัน ไทย และสิงคโปร์มีโอกาส ที่จะเข้าสู่ภาวะกระทิงมากกว่าตลาดหุ้นอินเดียและอินโดนีเซีย โดย CREDIT SUISSE มองว่า แม้การขยายตัวของเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่สูง เช่น ในจีนและอินเดียเป็นผลดีต่อผลประกอบการของบริษัท แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น ขณะที่เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไต้หวัน ไทย สิงคโปร์ แม้จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทตกต่ำลง แต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยกำลังจะถึงจุดสูงสุด
ในการจัดอันดับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียของ CREDIT SUISSE ได้แบ่งออกเป็น 3 ระดับสำหรับการพิจารณาด้านการลงทุน คือตลาดหุ้นไต้หวัน ไทย และสิงคโปร์อยู่ในอันดับดีที่สุด โดยมีโอกาสจะปรับเพิ่มขึ้นเข้าสู่ภาวะที่คึกคักได้อย่างชัดเจนมากกว่าที่ปรับลดลงเข้าสู่ภาวะซบเซา นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั้งสามแห่งได้ตอบรับปัจจัยลบไปแล้ว ดังนั้นจึงยังคงมีความน่าสนใจเข้าไปลงทุนอยู่ เนื่องจากยังมีข่าวดีเกี่ยวกับการขยายตัวทางศรษฐกิจหรืออัตราดอกเบี้ยตลาดมีโอกาสจะเข้าสู่ภาวะกระทิงได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย เกาหลีใต้ และฮ่องกง อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ตลาดหุ้นจีน อินเดียและอินโดนีเซีย มีโอกาสปรับลดลงมากกว่าปรับเพิ่มขึ้น โดยตลาดหุ้นทั้งสามแห่งได้ตอบรับปัจจัยบวกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยใกล้จะถึงจุดสูงสุด หรือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีเสถียรภาพไปแล้ว ทำให้ต้องรอให้มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาจึงจะทำให้ตลาดมีความน่าสนใจอีกครั้ง
ทั้งนี้ CREDIT SUISSE ได้ประเมินตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซียในปัจจุบันว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในภาวะกระทิง เนื่องจากยังคงไม่มีปัจจัยใหม่ที่น่าสนใจมากระตุ้นการลงทุน แม้ว่าภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังอยู่ในทางบวกก็ตามUpdate/'ศุภวุฒิ' คาดกำไร บจ.ปีนี้โตแค่ 1% หลังต้นทุนพุ่ง แต่จะดีขึ้นใน Q2/50
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส4/49 น่าจะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากความชัดเจนในหลายเรื่อง เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และประเด็นทางการเมือง แต่ในภาคการลงทุนในอุตสาหกรรมยังคงต้องรอความชัดเจนในเรื่องการเมืองซึ่งอาจจะทำให้การเข้ามาลงทุนชะลอไปถึงต้นปีหน้า
ทั้งนี้การปรับขึ้นลงของราคาหุ้นจากการประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนควจะต้องรอการประกาศที่ชัดเจนหากบริษัทใดหรือกลุ่มใดการปรับตัวลดลงต่ำกว่าที่มีการคาดการณ์น่าจะทำให้ราคาสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
หุ้นทดสอบดัชนีที่ 700 จุด
ด้านภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (27 ก.ค.) ดัชนีปิดที่ 695.83 จุด เพิ่มขึ้น 4.91 จุด หรือ 0.71% โดยระหว่างวันดัชนีขึ้นทดสอบที่ระดับ 699.95 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 691.94 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,716.29 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 474.82 ล้านบาท
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 314.07 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 160.75 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น และนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มมีการประกาศออกมา โดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกระจายอยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (28 ก.ค.) คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อซึ่งจะต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศ คือ ปัจจัยความไม่สงบในตะวันออกกลาง และปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โดยมองแนวรับที่ระดับ 700 จุด แนวต้านที่ระดับ 707 จุด
|
|
|
|
|