ยุคทองของธุรกิจประกันภัยเสรีเริ่มต้นแล้ว เมื่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่อย่าง กลุ่มซีพี
สหวิริยากรุ๊ป กลุ่มอัลฟาเทค กลุ่มโอสถสภา กลุ่มสหพัฒน์ ฯลฯ ต่างยาตราทัพเงินทุนและกำลังพลเข้าสู่สนามการค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่าแสนล้าน
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่กระทรวงการคลังจะเป็นผู้ดูแลธุรกิจเหล่านี้แทนกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งขาดความต่อเนื่องและประสิทธิภาพในการกำกับดูแลยังเป็นที่น่าสงสัย
ชูชีพ หาญสวัสดิ์ เพิ่งก้าวเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลบรรหาร
1 ไม่นานนัก ก็ประกาศยืดเวลาการขอใบอนุญาตตามนโยบายเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยจากวันปิดรับ
7 กันยายน 2538 เลื่อนเป็นวันที่ 9 ตุลาคม โดยอ้างเหตุว่า 10 รายที่ขอน้อยเกินไป
ในที่สุดผลปรากฎว่ามีจำนวนผู้ขอทั้งสิ้น 87 ราย ซึ่งผู้มีอำนาจเซ็นอนุมัติอย่างชูชีพไม่รับประกันว่ากี่รายจะได้รับใบอนุญาตนับว่าเป็นการเปิดเสรีแบบหัวมงกุฎท้ายมังกรยิ่งนัก
เพราะหากรัฐบาลจำกัดจำนวนใบอนุญาต ก็อาจมีการวิ่งเต้นหรือใช้เส้นสายให้ได้มาก็ได้
"การเปิดเสรีประกันโดยไม่มีการจำกัดจำนวนบริษัทนั้นจะเป็นเหตุให้ธุรกิจนี้ถึงกับต้องพังลงมาได้
ต้องคำนึงถึงปริมาณบริษัทประกันเดิม รวมทั้งที่จะอนุญาตใหม่ว่ามากเกินไปหรือไม่
และต้องพิจารณาเงื่อนไขประกอบอย่างรอบคอบ หากธุรกิจรายเดิมอยู่ไม่ได้ ก็ไม่เหมาะสม
แต่ต้องวางหลักเกณฑ์ที่จะให้แข่งขันภายใน 5 ปีด้วย" รมว. พาณิชย์ชูชีพผู้คร่ำหวอดในวงการประกันภัยตั้งแต่ครั้งเป็นรมช.
พาณิชย์สองสมัยแถลง
เป็นที่น่าสงสัยระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น ใช่ หรือไม่ที่ผลประโยชน์ก็พลอยมากขึ้นด้วย
เม็ดเงินสะพัดเข้ากรมการประกันภัยไม่ต่ำกว่า 5,205 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินมัดจำ
15% ของทุนจดทะเบียน ตามเงื่อนไขใหม่ ทุนจดทะเบียนของบริษัทประกันชีวิต 500
ล้านบาท ที่สูงกว่าบริษัทประกันวินาศภัยที่ 300 ล้าน
นอกจากนี้ต้นทุน "พิเศษ" ที่รายใหม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะก็มีสูตรลับ
"50 ต่อ 1%" สำหรับใบอนุญาตประกันชีวิต 1 ใบ หรือ 50 ล้านบาท ส่วนใบอนุญาตประกันวินาศภัยจะประเมินไว้ที่
"30 ต่อ 1%" หรือ 30 ล้านบาท
คุ้มหรือไม่คุ้มที่ต้องจ่าย? วัดจากปัจจุบันมูลค่าใบอนุญาตที่ซื้อขายกันตกประมาณ
300 ล้านบาท เช่นกรณีที่กลุ่มเอกธนกิจลงทุน 300 ล้านซื้อใบอนุญาตกิจการของ
"พิทักษ์สินประกันภัย" ของกลุ่มโค้วยู่ฮะ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น
"เอกประกันภัย" ดำเนินธุรกิจรับประกันวินาศภัยของลูกค้ากลุ่มเอกธนกิจ
และล่าสุดกลุ่มเอกธนกิจได้ยื่นขอใบอนุญาตประกันชีวิตในนาม "บริษัท เอกประกันชีวิต"
ด้วย
แนวความคิดของสถาบันการเงินที่ต้องการทำธุรกิจครบวงจร ขณะเดียวกันเป็นการขยายกิจการ
และบางอุตสาหกรรมคำนึงถึงการประหยัดต้นทุนจ่ายเบี้ยประกันแบบยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว
ทำให้เกิดภาวะบูมสนั่นหลังเปิดเสรีประกันภัยในยุคสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้
มีผู้ยื่นขอทั้งหมด 87 รายซึ่งแยกเป็นผู้ยื่นขอทำธุรกิจประกันชีวิต 44 ราย
และธุรกิจประกันวินาศภัยรายใหม่ 43 ราย
กลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
เช่นธนาคารนครหลวงไทยซึ่งร่วมกับกลุ่มสหพัฒน์ ซัมซุงและไอเอฟซีที่ยื่นขอตั้ง
"บริษัท เอสเอสเอสไอประกันชีวิต" ธนาคารศรีนครเสนอในนาม "บริษัทศรีนครประกันชีวิต"
ธนาคารนครธนเสนอตั้ง "บริษัทนครธนประกันชีวิต" กลุ่มเอกธนกิจเสนอในนาม
"บริษัทเอกประกันชีวิต" บงล. นิธิภัทรในนาม "นิธิภัทรอีโก้
แอนด์ เจเนอรัล" แบงก์กรุงเทพฯพาณิชย์การร่วมกับนักธุรกิจชาวฮ่องกง
โรเบิร์ต ก๊วก พรอนันต์กรุ๊ป และบงล.ไทยรุ่งเรืองทรัสต์และมหาธนกิจ ตั้ง
"บริษัท เคอรี่ประกันภัย" ฯลฯ
กลุ่มอุตสาหกรรมการค้าและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์และมักจะขอใบอนุญาตครบทั้งประกันชีวิตและประกันภัย
เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ เครือสหวิริยา กลุ่มอัลฟาเทค กลุ่มตันติพิพัฒน์พงศ์ในนาม
"บริษัทพรภัทรประกันภัย และพรภัทรประกันชีวิต" เป็นต้น
กลุ่มธุรกิจประกันภัยเจ้าเก่า ซึ่ง "ฟันหลอ" เนื่องจากมีใบอนุญาตประกันภัยเพียงใบเดียว
เมื่อโอกาสเปิด ก็จึงขอเพิ่มธุรกิจประกันชีวิตให้ครบทุกช่องทางเช่น ประหยัด
เลี่ยวไพรัตน์แห่งกลุ่มทีพีไอยื่นขอตั้งบริษัททีพีไอประกันชีวิต
กลุ่มธุรกิจการเมือง ซึ่งมีเจ้าของกิจการเป็นนักการเมือง เช่น กลุ่มชินวัตรซึ่ง
พจมาน ชินวัตร ภริยาหัวหน้าพรรคพลังธรรมเป็นผู้ยื่นขอในนามบริษัทธนชาติประกันชีวิตและธนชาติประกันภัย
กลุ่มโอสถสภา (เต็กเฮงหยู) ของสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ผู้สนับสนุนพรรคชาติพัฒนายื่นขอในนาม
"บริษัทโอสถสภาประกันชีวิตและโอสถสภาประกันภัย" กลุ่มวัฒนา อัศวเหม
สส. สมุทรปราการพรรคชาติไทย ยื่นขอทำธุรกิจประกันวินาศภัยชื่อ "บริษัทเอ็มพี
ประกันภัย" เป็นต้น
รายแรกที่กล้าเปิดตัวเป็นทางการแม้ว่าจะยังไม่ได้รับอนุญาตก็ตามคือ "บริษัทสหวิริยาประกันชีวิต"
และ "บริษัทสหวิริยาประกันภัย" มีงานแถลงข่าวที่โรงแรมรีเจ้นท์
นำโดยวิทย์ วิริยะประไพกิจ ซีอีโอหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเครือสหวิริยา
โดยปีกขวาประกอบด้วย ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ รองซีอีโอ และสอาด ธรารักษ์ ว่าที่กรรมการผู้จัดการสายธุรกิจประกันชีวิต
ส่วนปีกซ้ายได้แก่ ดร. อัศวิน จินตกานนท์ และหาญ อร่ามวิทย์ กรรมการผู้จัดการสายธุรกิจประกันวินาศภัย
"เครือสหวิริยาได้ยื่นหนังสือขอจัดตั้ง และประกอบกิจการธุรกิจประกันชีวิต
และประกันวินาศภัยต่อกระทรวงพาณิชย์โดยไม่มีการเข้าร่วมกับกลุ่มธุรกิจใด
เนื่องจากเครือสหวิริยามีความพร้อมในตัวเองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านเงินทุน เครือข่ายและบุคลากร"
ซีอีโอของเครือสหวิริยาเล่าให้ฟัง
เครือสหวิริยานับว่า เป็นกรณีตัวอย่างที่สะท้อนชัดเจนถึงเบื้องหลังการขยายอาณาจักรสู่ธุรกิจประกันภัย
ของกลุ่มทุนบรรษัทขนาดใหญ่ลักษณะ CONGLOMORATE ที่สั่งสมเงินทุนจากฐานธุรกิจดั้งเดิมด้านอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายเหล็ก
และแผ่ขยายการลงทุนสายธุรกิจ 7 สายดังนี้
สายแรก-ธุรกิจเหล็กที่รวมการผลิตและการจำหน่ายเหล็ก เครือสหวิริยามีบริษัทไม่ต่ำกว่า
19 แห่ง อาทิเช่น บริษัทสหวิริยาสตีลโฮลดิ้ง สหวิริยาพาณิชย์ สหวิริยาเมทัลอินดัสทรีส์
สหวิริยาสตีลบาร์ สหวิริยาสตีลเหล็กเพลา บริษัทเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย บริษัทแผ่นเหล็กเคลือบไทยเพียงการรับประกันภัยนำเข้า-ส่งออกวัตถุดิบเหล็กและประกันโรงงานเหล็กที่พระประแดงและที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็มีมูลค่ามหาศาล
สายที่สอง-ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินธุรกิจไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง เช่นบริษัทสหวิริยาแลนด์
สหวิริยาเรียลเอสเตทเซลส์ บริษัทสหวิริยาซิตี้ บริษัทสหวิริยานิวเวย์วิริยะเอสเตท
เวลโกรว์อินดัสทรีส์ บริษัทมิตซุย-สหวิริยาเรียลเอสเตท บริษัทมิตซุย-สหวิริยาคอนสตรัคชั่น
บริษัทประภาวิทย์ บริษัทมหานครเอสเตท ซึ่งแต่ละโครงการต้องประกันอัคคีภัยตามข้อบังคับ
สายที่สาม-สายธุรกิจโทรคมนาคมและเทคโนโลยี เช่น บริษัทสหวิริยาโอเอ สหวิริยาอินฟอร์เทค
คอมพิวเตอร์ สหวิริยาเทเลคอม สหวิริยาซิสเท็มส์ สหวิริยาแอดวานซ์โปรดักส์
สหวิริยาดาต้าซิสเต็มส์ สหวิริยาคอมมิวนิเคชั่น บริษัทเอปสันอิเล้คโทรนิคส์
บริษัทไทยซอฟท์
สายที่สี่-สายธุรกิจระหว่างประเทศเป็นบริษัทเทรดดิ้ง
สายที่ห้า-สายธุรกิจการเงิน เช่น บริษัทสหวิริยาเครดิตฟองซิเอร์ บงล.ซีแอลสหวิริยา
บริษัทไฮเอชลิสซิ่ง และถ้าหากเครือสหวิริยาได้ใบอนุญาตประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
ก็จะทำให้สายธุรกิจการเงินครบวงจร
สายที่หก-สายธุรกิจขนส่งซึ่งทั้งการขนส่งทางบกและทางเรือที่บริการขนส่งทะเลและมหาสมุทร
เช่นบริษัทท่าเรือประจวบ บริษัทสหวิริยาขนส่ง บริษัทสยามนานาขนส่ง ดร. มารวยได้ยืนยันว่าท่าเรือประจวบของสหวิริยาเป็นท่าเรือน้ำลึกที่สุดที่สามารถรับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่มีระวางบรรทุกแสนตันได้
สายที่เจ็ด-สายธุรกิจพลังงาน (POWER & ENERGY) ที่เป็นอนาคตธุรกิจใหม่ที่เครือสหวิริยาร่วมกับอิตาลีเสนอขอตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าอิสระต่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแล้วรอผลปีหน้า
"ปีหนึ่งเราจ่ายเบี้ยประกันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเหล็ก ธุรกิจที่ดิน
ธุรกิจสายเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศล้วนแต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิต ประกันภัยทางรถยนต์ หรือประกันการขนส่งทางทะเล
เช่น ในกลุ่มเหล็กของเราที่นำเข้าวัตถุดิบเหล็กปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10 ล้านตันจึงต้องมีการประกันภัยขนส่งทางทะเลเช่นเดียวกับประกันการนำเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การตั้งบริษัทประกันของเราเองจะช่วยลดการขาดดุลบริการที่ต้องเสียให้บริษัทต่างประเทศมากๆ"
วิทย์ ประไพวิริยะกิจเล่าให้ฟัง
ในฐานะเฮดฮันเตอร์กิตติมศักดิ์ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ ได้ทาบทาม สอาด ธรารักษ์เป็นกรรมการผู้จัดการสายธุรกิจประกันชีวิต
สอาดเป็นลูกหม้อเก่า เอ.ไอ.เอ ที่ทำงานมา 28 ปี 8 เดือน เคยเป็นอดีตกรรมการผู้จัดการคนไทยคนแรกของบริษัท
เอ.ไอ.เอ อยู่ 8 ปี(2523-31) หลังจากนั้นกรมการประกันภัยเชิญมาช่วยแก้ปัญหาในบริษัทอินเตอร์ไลฟ์ประกันชีวิต
ล่าสุดมาอยู่ที่เครือสหวิริยา
จากนั้นสอาดก็ได้ทีมงานลูกน้องเก่าสามคนมาเป็นรองกรรมการผู้จัดการ คือ สุวัฒน์
ชูครุวงศ์อยู่สายบริหาร ธานี เขมะคงคานนท์ อยู่สายการเงินการลงทุนดูแลพอร์ตลงทุน
และไพศรี ชุติวิริยะการย์ดูแลสายเทคนิคประกันภัย ทำงานด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ
"ผมเกษียณอายุจากบริษัทอินเตอร์ไลฟ์มาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ใครมาแย่งหรือมาซื้อตัว
คุณเชื่อหรือว่า จะไม่มีใครเปลี่ยนงานไปมา ยิ่งฝ่ายขายยิ่งเปลี่ยนทุกปี ออกจากไทยสมุทรไปไทยประกัน
หรือออกจากเอ.ไอ.เอ.ไปอยู่ประกันชีวิตศรีอยุธยา ผมยอมรับว่า คนไม่พร้อม แต่ถ้าเรารอให้พร้อม
เมื่อไหร่ล่ะครับ? ถ้าเราไม่เริ่มสร้างคนตอนนี้" สอาดเล่าให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา
ขณะเดียวกัน ดร. มารวยและดร.อัศวิน ก็ได้ทาบทามหาญ อร่ามวิทย์ ก็เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการสายประกันวินาศภัยของเครือสหวิริยา
ประสบการณ์ 27 ปีที่หาญเริ่มจากโฮมอินชัวรันส์สู่เมืองไทยประกันชีวิตที่
ซึ่งเขาต้องประสบเหตุร้ายแรงจนเสียโฉมแต่ได้พิสูจน์ตัวเองอยู่หลายปีจนสำเร็จ
ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่วชิระสินประกันภัยและบริษัทรัตนโกสินทร์ประกันภัยก่อนลาออกมาที่นี่
ทีมงานของหาญประกอบด้วยมือขวา คือสมชาย เปล่งสุริยการ เป็นผู้ช่วยฯ รับผิดชอบบริหารทั่วไป
รับประกันภัยจัดการสินไหม สมชายทำงานกับประกันคุ้มภัย 14 ปีหลังจากจบปริญญาโทที่นิด้า
สมชายเชี่ยวชาญการประกันภัยรถยนต์เป็นพิเศษ
ส่วนมือมาร์เกตติ้งคนสำคัญคือ ปราโมทย์ บุญสินสุขมารับผิดชอบตลาดในฐานะผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการที่เครือสหวิริยา
ปราโมทย์เคยทำอยู่กรุงเทพประกันภัย 15 ปีก่อนจะย้ายสังกัดไปอยู่ประกันคุ้มภัยและอาคเนย์ประกันภัย
คนที่สามคือจิราพร ตากดำรงค์กุลมีอาวุโสงานน้อยที่สุดเพียง 3 ปี รับผิดชอบสารสนเทศ
ช่วยสายงานสำนักกรรมการผู้จัดการ
ผลกระทบจากที่ลูกค้าขนาดใหญ่อย่าง เช่น เครือสหวิริยา จัดตั้งบริษัทประกันภัยเอง
ได้สร้างปรากฏการณ์ธุรกิจใหม่เกิดขึ้นหลายประการในพอศอนี้
ปรากฏการณ์ที่เด่นชัดที่สุดคือในระยะ 5 ปีต่อไป ตลาดประกันชีวิตจะขยายจากเดิมที่มีคนทำประกันชีวิตเพียง
8% ของคนไทยทั้งหมด 60 ล้านคน ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทประกันภัยเดิมที่ถือลูกค้าเดิมจะลดลงเมื่อมีการแข่งขันด้านบริการและเบี้ยประกันภัย
เช่นกรณีของเครือสหวิริยา หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มอัลฟาเทค ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสัดส่วนเบี้ยประกันสูงได้ออกไปตั้งบริษัทประกันภัย
ผลกระทบย่อมเกิดกับบริษัทกรุงเทพประกันภัย ซึ่งเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดนี้
ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเดิมลดลง
"แผนห้าปีของบริษัทสหวิริยาประกันภัย ถ้าหากเราได้เปิดมกราคมปีหน้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจากปีแรก
150 ล้าน เราประมาณว่าจะเติบโตไปถึง 800 ล้านในห้าปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ
15%" หาญ อร่ามวิทย์ กรรมการผู้จัดการสายธุรกิจประกันวินาศภัยของเครือสหวิริยาเล่าให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าทั้งสามรายเป็น ลูกค้าเก่าแก่ที่มีสายสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับแบงก์กรุงเทพและบริษัทกรุงเทพประกันภัยมานาน
ถึงแม้จะตั้งบริษัทประกันภัยเองก็ต้องกระจายความเสี่ยงโดยให้บริษัทกรุงเทพประกันภัยรับประกันภัยต่อ
เป็นที่คาดหมายว่าตลาดประกันภัยจะขยายตัวมากขึ้นด้วยซ้ำ
ปัจจุบันผู้นำส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในตลาดประกันชีวิตไทยคือ เอ.ไอ.เอ. ที่ครองสัดส่วนถึง
50.4% มูลค่าตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะเป็น 49,353 ล้านบาท โดยเฉลี่ยปีละ 20-29%
ขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยสิ้นปีนี้คาดว่ามูลค่ารวมจะประมาณ 53,318 ล้านบาท
โตเฉลี่ยปีละ 20%
นอกจากนี้ การเพิ่มบริษัทประกันภัยใหม่ขึ้น เพิ่มดีกรีการแข่งขันด้วยคู่แข่งยักษ์ใหญ่รายใหม่
แบบปลาใหญ่กินปลาเล็กก็ย่อมเกิดขึ้นให้เห็นถึง บริษัทขนาดเล็ก หรือที่อ่อนแอกว่าต้องปรับตัวให้อยู่รอดหรือไม่ก็ยุบหรือเลิกกิจการไปเลยก็มีทำให้ลดจากจำนวนเดิมที่มีบริษัทประกันชีวิต
12 แห่งและบริษัทประกันวินาศภัย 67 แห่ง ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทประกันภัยขนาดเล็กมีเบี้ยประกันภัยไม่ถึง
300 ล้านบาท และไม่มีประสิทธิภาพแข่งขันได้เต็มที่ กรณีบริษัทประกันชีวิตขนาดเล็กก็มีอัตราส่วนของกรมธรรม์ยกเลิกและขาดอายุสูง
เช่น บริษัทสหประกันชีวิตที่ขาดทุนจนล้มละลาย
ด้วยเหตุนี้กรมการประกันภัยจึงควรเข้มงวดในการกำกับดูแลฐานะของบริษัทประกันภัยขนาดเล็ก
และให้บริษัทดำรงเงินกองทุนจากเดิม 10% ของเบี้ยประกัน หรือไม่ต่ำกว่า 30
ล้านบาท เพิ่มเป็น 40 ล้านบาทและทยอยเพิ่มจนครบ 100 ล้านในเวลา 5 ปี
ปรากฏการณ์สุดท้ายคือ ปัญหาขาดแคลนบุคลากร ที่ทาง สุขเทพ จันทร์ศรี ชวาลา
นายกสมาคมประกันชีวิตไทย และศราวุธ ภาสุวณิชย์พงศ์ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยยื่นจดหมายต่อนายกรัฐมนตรีบรรหาร
ศิลปอาชา และรมว. พาณิชย์ ชูชีพ หาญสวัสดิ์ อ้างเหตุว่าควรจำกัดใบอนุญาตประกันชีวิตใหม่
5 ใบและบริษัทประกันวินาศภัยใหม่ 3 ใบในระยะ 3 ปีแรก
แต่หัวใจสำคัญของบุคลากรในบริษัทใหม่คือ ปัญหาขาดแคลนผู้บริหารแผนกพิจารณารับประกัน
แผนกสินไหมและนักคณิตศาสตร์ประกันภัย (ACTUARY) ซึ่งนับจำนวนได้เพราะเป็นศาสตร์ที่ยาก
ต้องสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้เหมือนสถาบันการเงิน ต้องคิดอัตรามรณะ หรือการเสียชีวิตในช่วงอายุที่ต่างกันได้ด้วย
ปัจจุบันการสร้างคนประกันภัยของไทยโดยผ่านศูนย์พัฒนาบุคลากรประกันภัยหรือ
"ทีไอไอ" และมหาวิทยาลัยเอแบคปีหนึ่งผลิตได้ไม่เกิน 300 คน ขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตมีคนทำงานถึง
30,000 คน ซึ่งเป็นคนทำงานธุรกิจประกันวินาศภัยถึง 16,800 คน
ลองนึกภาพสิ้นปีที่พนักงานในวงการประกันภัยนับหมื่นได้รับโบนัสแล้ว ขณะเดียวกันก็มีทางเลือกงานใหม่เมื่อได้ทราบผลว่าใครได้รับใบอนุญาตธุรกิจประกันแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเห็นข่าวเกี่ยวกับการซื้อตัว เปลี่ยนงานใหม่จะเกิดขึ้นบ่อยมาก
ๆ ในทุกระดับชั้นตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ระดับกลางและระดับทั่วไปจะวิ่งวุ่นกัน
ยุคทองของคนประกันภัยมาถึงแล้วราคาค่าตัวได้ถูกปั่นขึ้นไปสูงเกินจริงเพราะดีมานด์มากแต่ซัพพลายน้อย
ดาวรุ่งวงการประกันภัยจะแจ้งเกิดเร็ว โดยเฉพาะนักเรียนนอกที่ผ่านประสบการณ์มาบ้างแล้ว
บริษัทประกันภัยใหม่บางแห่งได้เตรียมคีย์แมนระดับบริหารไว้ก่อนแล้ว โดยเสนอผลตอบแทนแก่กรรมการผู้จัดการที่เคยผ่านประสบการณ์
บริหารธุรกิจประกันภัยขนาดใหญ่อย่างจุใจ โดยอยู่ในระดับ 200,000-300,000
บาท/เดือน นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น สิทธิการถือหุ้น ส่วนแบ่งจากผลกำไร
โบนัสในรูปเงินและการพักผ่อนในต่างประเทศ รวมถึงรถประจำตำแหน่งโก้หรู
ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความแน่นอนในปีนี้ บางบริษัทยักษ์ใหญ่รายใหม่ที่มีท่าว่าจะได้แจ้งเกิด
ได้มีการทาบทามตัวผู้บริหารระดับสูงกันอย่างเงียบ ๆ แต่เป็นที่รู้กันในวงการประกันภัยว่าใครเป็นใคร
อาทิเช่น สุนทร บุญสาย ลาออกจากกรรมการผู้จัดการ บริษัทประกันศรีอยุธยา
จาร์ดีน ไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทอัลฟาเทคประกันชีวิตเพื่อรับอาสาทอฝันของชาญ
อัศวโชค ให้เป็นจริง
พันธ์เสน่ห์ พันธุพงษ์ อดีตผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวางแผนการตลาด บริษัทคอมเมอร์เชียลยูเนียนประกันภัย
หรือซียูไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทใหม่ "อัลฟาอินเตอร์เนชั่นแนล
อินชัวรันส์"
งานนี้พันธ์เสน่ห์ต้องคิด เพราะคอมเมอร์เชียลยูเนียมไม่เพียงต้องเสียลูกค้ารายใหญ่อย่างกลุ่มอัลฟาเทค
ซึ่งปีหนึ่ง ๆ สัดส่วนเบี้ยประกันขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และในอนาคตหากว่ากลุ่มอัลฟาเทคได้ใบอนุญาต
คาดว่าจะมีคนซียูกว่าครึ่งไปอยู่ที่ใหม่นี้
วรวุฒ ตั้งก่อสกุล อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทประกันคุ้มภัย ไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท
เจริญโภคภัณฑ์ประกันภัย ขณะที่ธัลดล บุนนาค เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท
เจริญโภคภัณฑ์ประกันชีวิต
กรณีของซีพีนี้ ได้มีการเตรียมตัวสะสมกำลังคนขึ้นมานานมาแล้ว เนื่องจากมีบริษัทโบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นนายหน้าประกันให้กับกลุ่มบริษัทในเครือซีพีและพอสบโอกาสเปิดเสรีประกันภัย
จึงได้พัฒนาฐานะบริษัทโบรกเกอร์นี้ขึ้นมาแต่พอจะหาคีย์แมนหมายเลขหนึ่ง ก็ได้ทาบทามมือบริหารที่เก่งจนคนในวงการลือ
คือ เจ้าของบริษัท "ที่ปรึกษาวัฒนา" แต่ติดขัดที่วัฒนามีสัญญาต่อเนื่องกับทางซิตี้แบงก์จึงทำให้ไปอยู่กับซีพีไม่ได้
แม้ว่าจะมีข้อเสนอจุใจเพียงใดก็ตาม
ท่ามกลางบรรยากาศเปลี่ยนงานใหม่จนฝุ่นตลบ ความวิตกกังวลต่อมาตรฐานการกำกับดูแลของกรมการประกันภัยและรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์มีความโปร่งใสยุติธรรม
คุณธรรมเพียงใด ภายใต้เงื่อนไขผลประโยชน์ ทางการเมืองส่วนตัวมาก่อนผลประโยชน์ส่วนรวม
ความพยายามที่จะให้สถาบันประกันชีวิตเข้าไปอยู่กับกระทรวงการคลังไม่เป็นผลสำเร็จ
ยิ่งสมัยโกศล ไกรฤกษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เคยประกาศว่า "จะไม่ยอมเสียแผ่นดินนี้ให้ใคร
!" จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าแตะนักเลงเมืองเก่าอย่างท่าน จนเว้นช่วงมาถึงรองนายกรัฐมนตรีบุญชู
โรจนเสถียร แรงผลักดันเริ่มใกล้เป็นจริง แต่เมื่อบุญชูลาออกโครงการนี้ก็พับฐานไป
เนื่องจากมีข้าราชการระดับสูงเสียประโยชน์มาก
ถึงเวลาแล้วที่จะทบทวนกันใหม่ว่า ธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยซึ่งเป็นสถาบันการเงินระยะยาวที่น่าจะไปอยู่กระทรวงการคลัง
เพื่อความต่อเนื่องและประสิทธิภาพของระบบบริหารและจัดการอย่างอารยประเทศทั้งหลาย