|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ สิงหาคม 2549
|
|
วิกฤติเศรษฐกิจจากการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540 ส่งผลกระทบต่อว่องกุศลกิจไม่น้อยเช่นกัน
"เรากระทบมากจากหนี้ 8,000 ล้านขึ้นไปเป็น 14,000 ล้าน ดอกเบี้ย 25% คิดดูว่าจะอยู่ได้ไหม เราก็คิดว่าไปไม่รอดแล้ว ดูยังไงก็ไปไม่รอด" อิสระ ว่องกุศลกิจ กล่าวถึงสถานการณ์ของน้ำตาลมิตรผลในช่วงนั้น
ไม่เฉพาะน้ำตาลอย่างเดียว ดิ เอราวัณ กรุ๊ป และบ้านปู ก็อาการหนักไม่ต่างกัน การร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าวิกฤติครั้งนี้น่าจะเป็นการผนึกกำลังครั้งใหญ่ที่สุดของคนในตระกูลว่องกุศลกิจเลยทีเดียว
นอกจากการเจรจาประนอมหนี้ซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติทั่วไปแล้ว ว่องกุศลกิจยอม "สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" ด้วยการขายทรัพย์สินบางส่วน
บ้านปูต้องยอมขายเดอะ โค เจเนอเรชั่น (COCO) บริษัทผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมและบริษัท ไตรเอนเนอจี้ โรงไฟฟ้าเอกชนขนาด 700 เมกะวัตต์ ที่มีสัญญาจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งในเวลานั้นทั้ง 2 บริษัทมีอนาคตสดใสไม่น้อย แต่เพื่อเอาตัวให้รอดก็ต้องยอมตัดใจ
"เราขาย COCO กับไตรเอนเนอจี้ไป ก็ได้มาหลายพันล้านบาท ขายไปชนิดที่ท่านประธานน้ำตาไหลเลย" ชนินท์เล่าถึงสถานการณ์ในวันนั้น
เช่นเดียวกับดิ เอราวัณ กรุ๊ป ที่ต้องขายอาคาร แกรนด์ อัมรินทร์ พลาซ่า อาคารสำนักงานบนถนนเพชรบุรีออกไป (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ธนภูมิ) และยังต้องเปิดทางให้พันธมิตรใหม่ที่เป็นกลุ่มทุนต่างชาติได้แก่ WREP Thailand Holdings ซึ่งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มทุนสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ เข้ามาถือหุ้น 37% (ปัจจุบันผู้ถือหุ้นเดิมซื้อหุ้นส่วนนี้กลับคืนหมดแล้ว)
สำหรับน้ำตาลมิตรผลใช้การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไป โดยมีรายได้จากโรงงานน้ำตาลในจีนที่ไม่เจอวิกฤติไปด้วยเข้ามาช่วยเหลือ พร้อมกันนั้นได้ปรับทิศทางธุรกิจเสียใหม่ จากเดิมที่ผลิตน้ำตาลทั่วไปขายได้กำไรน้อย เนื่องจากเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ไม่แตกต่างจากน้ำตาลเจ้าอื่น ก็เร่งพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น มีการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพการผลิตให้ดีขึ้น
ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มิตรผลฝ่าวิกฤติมาได้เท่านั้น ยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการรุกไปข้างหน้าที่มาส่งผลในวันนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจการเงินของตระกูล ได้แก่ บง.ยูไนเต็ด ที่มีธนาคารกสิกรไทยเป็น ผู้ร่วมทุนก็ถูกทางการสั่งปิดไป ขณะที่ บล.ยูไนเต็ดก็เพิ่งมีการขายหุ้น 25.43% ให้กับเอพีเอฟ โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากญี่ปุ่นไปเมื่อต้นปีนี้เอง โดยได้เงินจากการขายครั้งนี้ รวม 345 ล้านบาทและตระกูลว่องกุศลกิจยังเหลือสัดส่วนการถือหุ้นในนามบุคคลและบริษัทที่เกี่ยวข้องอยู่จำนวน 6.55%
|
|
|
|
|