|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"อินเด็กซ์" หั่นกำไรลง 3-5% ประกาศปรับกลยุทธ์ใหม่ ส่งแคมเปญ "Joy Price" ลดราคาขายสินค้าแบรนด์อินเด็กซ์ทุกชิ้น 20-30% ส่งผลราคาขายต่ำกว่าคู่แข่งในตลาด 50-70% ยันตรึงราคาเดียวไม่มีปรับขึ้นหรือลดต่ำกว่านี้ คาดหลังออกแคมเปญยอดขายช่วงครึ่งปีหลังเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% แจงลดราคาไม่ลดคุณภาพ-สเป็ก-วัสดุ ยันสามารถคุมต้นทุนการบริหารได้ต่ำกว่าคู่แข่ง หลังนำเข้าเครื่องจักรระบบซอฟแวร์ช่วยบริหารกระบวนการผลิต-ขนส่งและสต็อกสินค้า
นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด บริษัทในเครืออินเด็กซ์อินเตอร์เฟิร์น ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ "อินเด็กซ์" เปิดเผยว่า ปัจจุบันอินเด็กซ์มีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ 50% และส่งออก 50% โดยยอดขายภายในประเทศแบ่งออกเป็นเฟอร์นิเจอร์แบรนด์วินเนอร์ ประมาณ 20-25%, เฟอร์นิเจอร์ออฟฟิศ ประมาณ 20-25% และเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ อินเด็กซ์ 50% โดยในช่วงครึ่งปีแรก สินค้าภายใต้แบรนด์ วินเนอร์มียอดขายเติบโตประมาณ 15% และเฟอร์นิเจอร์ออฟฟิศ มีอัตราการเติบโต 15% ส่วนเฟอร์นิเจอร์ในแบรนด์ อินด็กซ์ ยอดขายเติบโตประมาณ 8% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย
โดยในปี 2549 บริษัทตั้งเป้ายอดขายประมาณ 6,000 ล้านบาท หรือธุรกิจมีอัตราเติบโตประมาณ 10% แต่เนื่องจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ ทั้งด้านการเมือง อัตราเงินเฟ้อในระดับสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย ส่งผลต่อการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดที่บ้านหลังใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องมีการซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ทำให้ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ในตลาดชะลอตัวตามสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาอัตราการขยายตัวของบริษัทให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ทั้งปี บริษัทได้ทำการปรับแผนกลยุทธ์ทางด้านการตลาดในสินค้ากลุ่มค้าปลีกใหม่ โดยใช้การตลาดที่เรียกว่า "Enjoy Customer Strategy " แยกออกเป็น 4 Joy คือ Joy Price (ราคา) , Joy Quality (คุณภาพ), Joy Design (การออกแบบ) และ Joy Service (บริการระดับคุณภาพ)
โดยเฉพาะแคมเปญ Joy Price จะเน้นในกลุ่มสินค้าแบรนด์อินเด็กซ์ ในทุกสาขา ทั้งในส่วนของสาขาในห้างสรรพสินค้า อินเด็กซ์ ลีฟวิ่งมอลล์ และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายใหม่ทั้งหมด โดยปรับลดราคาสินค้าในแบรนด์อินเด็กซ์ทั้งหมด ต่ำกว่าราคาปกติ 20-30% โดยบริษัทจะใช้ราคาขายสินค้าเพียงราคาเดียวเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีการจัดโปรโมชันลดราคาที่ต่ำกว่าราคาที่ปรับลงมา หรือช่วงลดล้างสต็อกตลอดทั้งปี โดยแคมเปญดังกล่าวจะเริ่มในวันที่ 18 ส.ค. 48 เป็นต้นไป
"ราคาใหม่นี้จะถูกกว่าราคาสินค้าที่ขายอยู่ปกติเฉลี่ยประมาณ 20-30% และจะถูกกว่าสินค้าที่จำหน่ายอยู่ในตลาดทั่วไปประมาณ 50-70% ซึ่งจะยืนราคาตลอดไป" นายกิจจากล่าวให้เห็นถึงแรงของแคมเปญดังกล่าว
นายกิจจากล่าวยอมรับว่า แคมเปญดังกล่าวอาจจะทำให้กำไรที่ได้จากการขายลดลงไปประมาณ 3-5% แต่จะช่วยให้บริษัทมีปริมาณของยอดขายที่เพิ่มเข้ามามากขึ้น ช่วยขยายฐานลูกค้าที่กว้างมากขึ้น โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังนี้ ยอดขายจากสินค้าในแบรนด์ อินเด็กซ์ จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% ซึ่งจะทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายรวมในปีนี้ขยายตัวไปตามเป้าที่วางไว้ 10%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่ง รวมถึงต้นทุนในการผลิตสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนในการผลิตโดยรวมของบริษัทจะต้องเพิ่มขึ้น แต่บริษัทอินเด็กซ์ฯ ยังคงมาตรฐานในการผลิตและคุณภาพสินค้าไว้เท่าเดิม ไม่ได้มีการลดขนาดของสินค้า หรือคุณภาพของวัสดุลง แม้ว่าจะมีการลดราคาขายลงก็ตาม ซึ่งสวนทางกับต้นทุนการผลิต ทั้งนี้ เหตุผลที่บริษัทสามารถปรับลดราคาขายลงได้โดยไม่มีการลดสเป็กสินค้า เนื่องจากบริษัทได้นำระบบการปรับลดต้นทุนการผลิตมาใช้
โดยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ผลของการนำเครื่องจักรในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพเข้ามาช่วยในการลดต้นทุน และมีการปรับระบบขนส่งสินค้า-แพ็กสินค้า ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนในการขนส่งสินค้าได้มากขึ้น ล่าสุดได้ทุ่มงบลงทุน 50 ล้านบาท ในการติดตั้งระบบซอฟแวร์ เพื่อช่วยในการตรวจสอบสต็อกสินค้า เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารสินค้าและสร้างความสะดวกให้แก่ลูกค้า
นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถปรับต้นทุนลงได้มากคือ ความได้เปรียบในด้านการสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณมาก ทำให้มีความสามารถในการต่อรองราคากับผู้ผลิตสินค้า (ซับพลายเออร์) ได้มาก รวมถึงการจัดส่งสินค้า ที่สามารถส่งในจำนวนปริมาณที่ใหญ่ได้ ดังนั้น การลดราคาขายลงมาของบริษัท จึงไม่ได้ส่งผลกระทบกับกำไรและต้นทุนการผลิตของบริษัท แต่ยังช่วยให้บริษัทรักษาอัตราการเติบโตของกำไรไว้ได้ในระดับเดิม
"ทางด้านการจัดกิจกรรมทางการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัทได้เตรียมงบ 30 ล้านบาท ในการประชาสัมพันธ์ครั้งนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ให้ลูกค้าได้รับทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของบริษัท" นายกิจจากล่าว
|
|
|
|
|