Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 กรกฎาคม 2549
เซนต์โกเบนทุ่ม 3 แสนล้าน เทกฯบีพีบี             
 


   
www resources

โฮมเพจ บีพีบี ไทยยิบซั่ม

   
search resources

ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม, บมจ.
บีพีบี ไทยยิปซั่ม
Construction
เซนต์-โกเบน




"ไทยยิบซั่ม"เผยทุนฝรั่งเศส "เซนต์-โกเบน" เทกโอเวอร์ กลุ่มบริษัทบีพีบี ผู้ถือหุ้นหลัก 100% ในบริษัทไทยยิบซั่ม มูลค่า 3 แสนกว่าล้านบาท พร้อมส่งบุคลากรเข้าปรับองค์กรกลุ่มบีพีบีในยุโรปใหม่ เตรียมอาศัยช่องตลาดวัสดุก่อสร้างกลุ่มบีพีบี เจาะตลาดวัสดุก่อสร้างทั่วโลก คาดไตรมาส 1-2 ปี 50 ส่งผลิตภัณฑ์ฉนวนใยแก้วกันความร้อนขายพ่วงผ่านช่องทางตลาดแผนยิบซั่มในประเทศ แจงผลดำเนินการไทยยิบซั่มครึ่งปีแรก เติบโตตามเป้า 8% เชื่อปี 50 ตลาดโตไม่เกิน 5-6%

นายวิรัตน์ พนมชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน ม.ค. 49 ที่ผ่านมา บริษัทเซนต์-โกเบน ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก่อสร้าง และกระจกรถยนต์ และอาคารสูง จากประเทศฝรั่งเศส ได้เทกโอเวอร์ กลุ่มบริษัท บีพีบี จำกัด (มหาชน) แล้วทั้งหมด 100% สำหรับ บริษัท บีพีบี เป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทไทยยิบซั่ม 100% โดยก่อนหน้านี้ กลุ่มบีพีบี ได้เข้ามาเทกโอเวอร์บริษัทไทยยิบซั่ม และเข้ามาบริหารไทยยิบซั่มอยู่ช่วงหนึ่ง และด้วยเหตุผลทางธุรกิจจึงตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับเซนต์-โกเบน

ทั้งนี้ หลังจากที่ได้มีการเจรจาซื้อขายหุ้นกันมานานกว่า 6 เดือน และตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้แก่บริษัทเซนต์-โกเบนต์ ในราคา 7ปอนด์ต่อหุ้น หรือประมาณ 560 บาทต่อหุ้น สำหรับกลุ่มบีพีบี เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งกลุ่มบริษัทเซนต์-โกเบน ได้เข้าไปซื้อหุ้นทั้งหมดจากกลุ่มผู้ซื้อหุ้นกลุ่มบีพีบีในประเทศอังกฤษ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 300,000 กว่าล้านบาท และเข้ามาบริหารกลุ่มบีพีบีแทน โดยกลุ่มบีพีบีนั้นสาขาอยู่ใน 90 ประเทศทั่วโลก ซึ่งนับรวมประเทศไทยด้วย

สำหรับเหตุผลที่ กลุ่มบริษัทเซนต์-โกเบน เข้ามาเทกโอเวอร์กลุ่มบีพีบี ด้วยมูลค่าที่สูงกว่า 3 แสนล้านบาทนั้น เนื่องจากกลุ่มบีพีบีเป็นกลุ่มบริษัทที่มีช่องทางในการจำหน่ายสินค้าอยู่ในไลน์วัสดุก่อสร้างอยู่ใน 90 ประเทศทั่วโลก ซึ่งตรงกับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของกลุ่มบริษัทเซนต์-โกเบน คือผลิตภัณฑ์ฉนวนใยแก้วกันความร้อนที่มียอดจำหน่ายเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มตลาดยุโรป ซึ่งจะทำให้กลุ่มบริษัทเซนต์-โกเบน สามารถขยายตลาดและช่องทางตลาดใหม่ๆ ใน 90 ประเทศทั่วโลกได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม การเข้ามาเทคโออเอร์กลุ่มบริษัทบีพีบี ที่ถือหุ้นในบริษัทไทยยิบซั่มนั้น จะไม่กระทบต่อการบริหารงานบริษัท ไทยยิบซั่ม โดยเซนต์-โกเบน ไม่ได้มีการส่งผู้บริหารจากบริษัทแม่เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้บริหารไทยยิบซั่ม แต่ได้ส่งบุคลากรด้านการเงินเข้ามาดูแล ทำให้งานบริหารของไทยยิบซั่ม ยังมีระบบและนโยบายในการบริหารรูปแบบเดิม ซึ่งคาดว่าการที่ เซนต์-โกเบน ไม่มีการเข้ามาแทรกแทรงการบริหารบริษัทนั้น เนื่องจากเห็นว่ายอดขายและการดำเนินงานด้านการบริหารของบริษัทไทยยิบซั่มนั้นมีคุณภาพอยู่แล้ว

นอกจากนี้ การปรับองค์กรภายในของกลุ่มบีพีบีจะมีการปรับเฉพาะบริษัทที่อยู่ในกลุ่มประเทศแถบยุโรป ส่วนในกลุ่มประเทศเอเชียนั้น คาดว่าจะมีการอาศัยช่องทางตลาดในการขายพ่วงผลิตภัณฑ์ประเภทฉนวนใยแก้กันความร้อนร่วมกับผลิตภัณฑ์แผ่นยิบซั่ม ทั้งนี้ในส่วนของการนำเข้าสินค้าฉนวนใยแก้วกันความร้อนเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มบริษัทเซนต์-โกเบน มีโรงงานผลิตอยู่ในประเทศจีนนั้น จะต้องรอดูสถานการณ์และตลาดภายในประเทศก่อน โดยในขณะนี้ ไทยยิบซั่มได้มีการศึกษาความต้องการและความเป็นไปได้ของตลาดเพื่อเตรียมความพร้อมไว้แล้ว โดยคาดว่าหากมีการนำเข้าฉนวนกันความร้อนดังกล่าวมาจำหน่าย ประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 1-2 ของปี 50

ปัจจุบันผู้ประกอบการฉนวนกันความร้อนในประเทศไทยมีอยู่ 2 รายหลักๆ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ฉนวนกันความร้อนตราช้าง และกลุ่มผลิตภัณฑ์ไมโครไฟเบอร์ ซึ่งขนาดและการขยายตัวของตลาดในประเทศไทยสำหรับฉนวนกันความร้อนนี้นับว่าเป้นตลาดที่ใหญ่และมีอัตราการขยายตัวที่ดี ดังนั้นความเป็นไปได้ของการเข้ามาทำตลาดผ่านช่องทางการขายเดียวกับผลิตภัณฑ์แผ่นยิบซั่มนั้นจึงมีความเป็นไปได้มาก ซึ่งหากมีการเข้ามาทำตลาดในประเทศจริงก็จะทำให้ผู้ประกอบการในตลาดเดิมได้รับผลกระทบมากพอสมควร โดยกลุ่มตลาดที่จะเข้ามานั้นจะเป็นกลุ่มตลาดก่อสร้างบ้านและอาคารสูงเป็นหลัก

"สำหรับกลุ่มบริษัทเซนต์-โกเบน เป็นบริษัทข้ามชาติสัญชาติฝรั่งเศส ที่มีบริษัทในเครือ 5 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท เซนต์-โกเบนแอบราซีฟส์ (ประเทศไทย)จำกัด, บริษัท เซนต์-โกเบน วีโทรเท็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เซนต์-โกเบน ซีคริท (ประเทศไทย)จำกัด, บริษัท เซนต์-โกเบนเวเบอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทไทยยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) โดยทั้ง5 บริษัทดังกล่าวเป็นกลุ่มผู้ผลิตสินค้า หินเจียรนัย กระดาษทราย หินเจียรนัยเพชร ใบตัดเพชร ผลิตภัณฑ์ใยแก้วเสริมแรง ผลิตภัณฑ์กระจกรถยนต์ ผลิตภัณฑ์กาวซีเมนต์ยาแนว มอร์ต้า ผลิตภัณฑ์ระบบผนังและเพดานยิบซั่ม" นายวิรัตน์กล่าว

นายวิรัตน์ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์แผ่นยิบซั่มว่า ในช่วงปี 47 อัตราการขยายตัวของตลาดแผ่นยิบซั่ม สูงถึง 20% แต่ในปี 48 ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 10-12% ซึ่งก็ยังถือว่าดีอยู่แต่หลังจากเกิดปัจจัยลบ น้ำมัน ดอกเบี้ย และการเมือง ส่งผลให้ปี 49 นี้ คาดว่าตลาดจะเติบโตลดลงมาที่ 8-10% และคาดว่าหากเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนอย่างเช่นขณะนี้คาดว่าในปี 50 อัตราการขยายตัวของตลาดจะลดลงอยู่ที่ 5-6% ในขณะเดียวกันปัญหาของผู้ประกอบการคือต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้นขณะที่ยอดขายลดลง ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาต้นทุนในการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 30%

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทยังไม่ได้มีการปรับราคาขายสินค้าขึ้น เนื่องจากคู่แข่งเพียงรายเดียว ซึ่งหากมีการปรับราคาขายขึ้นจะทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้ แต่บริษัทได้หันไปเน้นปรับลดต้นทุนวัตถุดิบและกระบวนการผลิตอย่างจริงจัง อาทิ ควบคุมการใช้พลังงานแก๊สให้มากขึ้น นำวัสดุกลับมารีไซเคิลใหม่ โดยเฉพาะเศษแร่ยิบซั่ม อย่างไรก็ตามหากต้องมีการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนจริง คาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 20% ของราคาขายจึงจะครอบคลุมต้นทุนที่ปรับขึ้นไป

สำหรับผลดำเนินงานของไทยยิบซั่ม ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตประมาณ 8% จากปี 48 ซึ่งถือว่าอยู่ในเป้าที่วางไว้ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 8% หรือประมาณ 3,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 60-65% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท และยอดส่งออก 35-40% หรือประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท ส่วนแผนในครึ่งปีหลังนั้นบริษัทจะพยายามเพิ่มยอดขายในส่วนของสินค้าโครงสร้างเหล็ก และแผ่นฝ้ามากขึ้น เพื่อให้มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us