|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"วัตสันกรุ๊ป" ทุนอสังหาฯ ออสเตรเลีย ยันเศรษฐกิจ-การเมืองไทยยังแข็งแกร่ง ในสายตานักลงทุนต่างชาติ เชื่อปัญหาการเมืองขณะนี้ ส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น หากได้บทสรุปชัดเจนเมื่อใดตลาดกลับมาขยายตัวอีกครั้ง พร้อมเดินหน้าผุด 4 โครงการรวดในปีนี้
นายมาร์ค วัตสัน กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท วัตสัน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ จากประเทศออสเตรเลีย เปิดเผยว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลีย เป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงมากๆ ดังนั้น ในช่วง4 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทได้ขยายการลงทุนออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยในช่วงแรกได้เข้ามาศึกษาตลาดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีกลุ่มประเทศที่น่าสนใจประกอบด้วย สิงคโปร์, มาเลเซีย,เวียดนาม และไทย
แต่หลังจากที่มีการวิเคราะห์ตลาดแล้วพบว่า ประเทศไทยเหมาะสำหรับเข้ามาลงทุนมากที่สุด เนื่องจากมีความพร้อมทั้งเรื่องการท่องเที่ยว อัตราการการเติบโตของเศรษฐกิจ สังคมน่าอยู่ และสถานภาพด้านการเมืองมั่นคง
"สาเหตุที่ไม่เลือกประเทศสิงคโปร์ เนื่องจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและประชากรในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า และค่อนข้างมีข้อจำกัดหลายเรื่อง ไม่ว่าการเจรจาธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ค่อนข้างยุ่งยาก มีข้อจำกัดด้านกฎหมายมากกว่าประเทศอื่นๆ ในขณะที่การเจรจาธุรกิจกับคนไทยง่ายและสะดวกกว่า ส่วนในประเทศมาเลเซียนั้น ปัญหาใหญ่คือ ไม่สามารถนำผลกำไรกลับออกนอกประเทศได้ แต่จะต้องนำกำไรที่เกิดจากการประกอบธุรกิจและการลงทุน ไปพัฒนาหรือสร้างประโยชน์ในประเทศมาเลเซียต่อ" นายมาร์คกล่าวถึงความแตกต่างของนโยบายการบริหารประเทศ
สำหรับประเทศเวียดนามนั้น แม้ว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจะสูงกว่าประเทศไทย แต่เมื่อพิจารณาเรื่องระบบสาธารณูปโภค ระบบการคมนาคม แหล่งท่องเที่ยวและสังคมแล้ว ยังห่างไกลจากประเทศไทยค่อนข้างมาก ซึ่งไม่เหมาะสมกับการลงทุนและไม่ตรงกับนโยบายในการพัฒนาธุรกิจของบริษัท เนื่องจากสินค้าของบริษัทเน้นเจาะลูกค้าในตลาดระดับบน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ กลุ่มวัตสัน กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจทางด้านพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งอยู่อันดับที่ 2 ในประเทศออสเตรเลีย ทำการพัฒนาโครงการทั้งในแบบการพัฒนาบ้านพร้อมที่ดินขาย และพัฒนาที่ดินพร้อมสาธารณูปโภคขายในกรณีที่ลูกค้าต้องการสร้างบ้านเอง โดยทางกลุ่มมีความสามารถในการผลิตที่อยู่อาศัยต่อปีประมาณ 1,000 หน่วย และได้พัฒนาโครงการมาแล้วประมาณ 40 โครงการ
นายมาร์ค กล่าวว่า การเข้ามาลงทุนในประเทศไทยนั้น จะเน้นพัฒนาสินค้าในกลุ่มคอนโดฯ และวิลล่ามากกว่าพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว เนื่องจากทางกลุ่มมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและทีมงาน ขณะที่ตลาดบ้านเดี่ยวมีการแข่งขันค่อนข้างมากและต้องถือว่าผู้ประกอบการไทยทำได้ดีอยู่แล้ว
สำหรับเป้าหมายการลงทุนในปีนี้ วางไว้ 4 โครงการ ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,100 ล้านบาท โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการแรก คือ เบลล์แอร์ พันวา คอนโดมิเนียม แหลมพันวา จ.ภูเก็ต พื้นที่ 7 ไร่ ในแหลมพันวา ใช้เงินลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาท จำนวน 87 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 4.5-10.9 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายกว่า 50% คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพ.ย.นี้
นายมาร์คกล่าวว่า ส่วนอีก 3 โครงการ จะลงทุนในครึ่งปีหลัง โดยได้เข้าไปซื้อที่ดิน จำนวน 1 ไร่ เพื่อพัฒนาในนามโครงการกะตะ ไฮด์ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ จำนวน 20 ยูนิต 4 ชั้น 1 อาคาร ราคาขาย 5.5-10.1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดการขายในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า
พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินจำนวน 10 ไร่ ทางตอนเหนือของหาดป่าตอง จ.ภูเก็ต จากกลุ่มนักลงทุนท้องถิ่น คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนส.ค.นี้ โดยตามแผนจะพัฒนาเป็นวิลล่าหรู เป็นศาลาทรงไทย จำนวน 20 ยูนิต ราคาขายหลังละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินจำนวน 2 ไร่ เพื่อพัฒนาเป็นคอนโดฯ สูง 8 ชั้น จำนวน 75 ห้อง คาดภายใน 1 สัปดาห์จะได้ข้อสรุป
"เรายังลงทุนธุรกิจอสังหาฯ ในไทยต่อเนื่อง ตามแผนในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะพัฒนาโครงการให้ได้ใกล้เคียงที่พัฒนาในประเทศออสเตรเลีย ไม่ต่ำกว่า 1,000 ยูนิตต่อปี" นายมาร์คกล่าวและว่า
ในส่วนของปัญหาทางด้านการเมืองของไทย เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อกลุ่มลูกค้าของบริษัทมากนัก เนื่องจากลูกค้ามีกำลังซื้อที่สูงและไม่ได้ผลพ่วงจากภาวะเศรษฐกิจ
"นักลงทุนต่างชาติมองว่า ในทุกประเทศก็มีปัญหากัน แต่จะมากจะน้อยเท่าใดนั้นต่างกัน ในสายตาของผมแล้วเชื่อว่า ปัญหาด้านการเมืองจะเกิดขึ้นระยะสั้นๆ และจะชัดเจน เรื่องนี้สำหรับนักลงทุนที่ขยายการลงทุนไปทั่วโลก ต่างก็เจอกันมาแทบทุกราย"
|
|
|
|
|