|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอแคป เผยได้ข้อสรุปทำธุรกิจใหม่กับพันธมิตรในไตรมาส 3 นี้ โดยจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 300 ล้านบาท เพื่อต่อยอดธุรกิจและลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ หวังดันรายได้ปีหน้าโตต่อเนื่อง หลังปัญหาการเมืองอึมครึม ขณะที่ครึ่งหลังปีนี้คาดผลงานน่าจะออกมาดี โดยเป้าหมายการเติบโตของปีนี้อยู่ที่ระดับ 20-30%
นายวิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) (ACAP) เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 3-4 ราย เพื่อร่วมลงทุนในการทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมที่บริษัทดำเนินการอยู่ โดยคาดว่าจะหาข้อสรุปและเสร็จในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งลักษณะการร่วมทุนจะเป็นการตั้งบริษัท ด้วยเงินลงทุนเบื้องต้น 300 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนการถือหุ้นฝ่ายละ 20-30% คาดได้ผลตอบแทนจากการลงทุนนี้ประมาณ 20%
“ขณะนี้ปัญหาทางการเมืองส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก และเราต้องหารายได้จากธุรกิจเดิมที่เราดำเนินการอยู่ เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน การหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของเรา เป็นการต่อยอดธุรกิจให้ดีขึ้น” นายวิวัฒน์กล่าว
โดยการเจรจาดังกล่าวได้เริ่มมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เนื่องจากมีหลายประเทศ ดังนั้นในครึ่งปีหลังการดำเนินงานของบริษัทจะชัดเจนมากขึ้น และจากการหาพันธมิตรร่วมทุนดังกล่าวเพื่อสร้างรายได้ของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่อง
สำหรับปีนี้ ACAP ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ระดับ 20- 30% จากปี 48 ซึ่งผลงานครึ่งปีหลังน่าจะออกมาได้ดีด้วย ขณะที่บริษัทก็ต้องเร่งเพิ่มรายได้ปีหน้าให้โตได้ตามแผนด้วย แม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจอาจไม่เอื้อต่อการดำเนินงาน
ปัจจุบัน ACAP มีพอร์ตสินเชื่อในการบริหารประมาณ 3 หมื่นล้านบาท และบริษัทต้องประมูลสินเชื่อเพิ่มพอร์ตให้มากขึ้น เพราะหนี้ในระบบมีจำนวนสูงมาก
นายวิวัฒน์กล่าวว่า นอกจากการซื้อหนี้เข้าพอร์ตมาบริหารแล้ว บริษัทยังต้องหาลูกค้าที่เป็นบริษัทมหาชนต้องการขายหุ้น IPO เข้ามาเพิ่ม แม้จะไม่ใช่รายได้หลักก็ตาม โดยปีนี้ ACAP มีลูกค้าสองรายที่รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับที่จะระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
โดยปีนี้ ACAP รับงานที่ปรึกษาขายหุ้น IPO ได้ 2 บริษัท ซึ่งไม่ได้เน้นหนักมาก เพราะธุรกิจหลักยังคงเน้นหนักที่งานวาณิชธนกิจ ขณะที่งานเป็นที่ปรึกษานั้นเป็นเหมือนงานที่ต่อเนื่องจากการเป็นที่ปรึกษา
อย่างไรก็ตาม ปี 50 บริษัทคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตได้มากขึ้น หลังเกิดการร่วมทุนขึ้นเพราะจะสามารถรับรายได้เข้ามาเต็มปี การที่บริษัทเร่งหาพันธมิตร เพราะต้องการเพิ่มความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ และการร่วมทุนครั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินที่เหลือจากการขายหุ้น IPO ประมาณ 70-80 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของ ACAP พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 8.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.61 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มจาก 5 สตางค์ เป็น 9 สตางค์ต่อหุ้น
เนื่องจากบริษัทมีรายได้ในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยเป็นรายได้จากค่าส่วนแบ่งของเงินที่เรียกเก็บได้ (Cash Collection Fee) จากกิจกรรมบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว และในขณะเดียวกันบริษัทฯ มีต้นทุนบริการจากกิจกรรมบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วและค่าใช้จ่ายในการจัดมหกรรมขายทอดตลาดประมาณ 1.02 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากกิจกรรมบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น
โดยจากผลงานงวดดังกล่าว ACAP มีรายได้รวม 72.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 50.88 ล้านบาท และมีหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น 409.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ซึ่งรายได้หลักมาจากการให้บริการการเงินและวาณิชธนกิจ 2.12 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 69.84 ล้านบาท
|
|
|
|
|