Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์24 กรกฎาคม 2549
เป็ปซี่ พร้อมติดปีกทรอปิคาน่า ทวิสเตอร์ลุยตลาดน้ำผลไม้อีโคโนมี             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท เสริมสุข จำกัด (เป๊ปซี่)

   
search resources

เสริมสุข, บมจ.
Soft Drink




หลังจับตามองตลาดน้ำไม้มาเป็นเวลาเกือบปี ในที่สุด เป๊ปซี่ ค่ายน้ำอัดลมยักษ์ใหญ่ ก็ได้ฤกษ์ส่ง ทรอปิคานา ทวิสเตอร์ แบรนด์น้ำผลไม้ระดับพรีเมียมซึ่งเป็นเป็นสินค้าซูเปอร์แบรนด์ ภายใต้บริษัทเป๊ปซี่ อินเตอร์เนชั่นแนล ในสหรัฐฯ ที่สร้างรายได้ให้กับเป๊ปซี่ทั่วโลกมาแล้วถึง 10% เข้ามาผลิตและทำตลาดในไทย แม้จะเป็นการวางตลาดที่ช้ากว่ากำหนดถึง 6 เดือน แต่มาช้า ดีกว่าไม่มาเลย และมาทั้งทีต้องแน่ใจว่ายอดขายต้องเข้าเป้าสูสีกับผู้นำตลาด

เมื่อเสร็จศึกจากการทำตลาดน้ำอัดลมในช่วงกระแสบอลโลกแล้ว ประกอบตลาดน้ำอัดลมกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยตลาดน้ำอัดลมมูลค่า 3 หมื่นล้านบาท มีการเติบโตเพียง 3% ส่วนตลาดน้ำดำ 2.1 หมื่นล้านบาท ปีนี้คาดว่าเติบโต 5% และตลาดน้ำสีมูลค่า 6 พันล้านบาทโตประมาณ 5-6%

ดังนั้นก็ถือเป็นจังหวะดีที่ค่ายเป็ปซี่จะลงมาโฟกัสตลาดน้ำผลไม้อย่างจริงจัง อีกทั้งยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่สร้างรายได้ให้กับเป๊ปซี่และเสริมสุขเพิ่มขึ้น เมื่อรายได้จากตลาดการทำน้ำอัดลมที่เป็นสินค้าหลักของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพียงปีละ 3-4% ขณะที่ตลาดรวมน้ำผลไม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตสูงสุดปีละ 20%

ที่ผ่านมาทั้งเป๊ปซี่และเสริมสุข ส่งเครื่องดื่มนอนคาร์บอเน็ตลงมาทำตลาดอย่างต่อเนื่องเนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการทำตลาดมากกว่าตลาดน้ำอัดลม และมาถึงครั้งนี้ถือว่าเป็นการรุกตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มครั้งแรกในเมืองไทยของเป๊ปซี่ ภายใต้แบรนด์ "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" ที่เป็นน้ำผลไม้10% 2 รสชาติ คือรสส้ม และผลไม้รวม 2 ขนาด คือ 250 มล. ราคา 13 บาท และ 350 มล. ราคา 18 บาท และเร็วๆ นี้เตรียมวางขนาด 1 ลิตร

สำหรับการวางสินค้าใน 2 รูปแบบนั้น ยังมีการแบ่งการกระจายสินค้าออกไปตามช่องทางการจัดจำหน่ายของบริษัทเสริมสุข โดยขวดแก้ว ขนาด 250ม.ล. วางจำหน่ายตามร้านค้าย่อยจำนวน 2.5 แสนรายทั่วประเทศ ผ่านทางหน่วยรถขนส่งจำนวน 1,500 คัน ขณะที่ขนาด 350ม.ล.หรือขวดเพ็ท วางตามไฮเปฮร์มาร์เก็ตและคอนวีเนียนสโตร์

รวมทั้งใช้กลยุทธ์การทำตลาดเต็มรูปแบบ( Full Consumer Marketing ) ซึ่งเป็นการตลาดที่ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และวางตำแหน่งสินค้าให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่มีความชัดเจนในการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เป็นน้ำผลไม้ที่มอบ “ความสดชื่นแบบคนอินเลิฟ”

อีกทั้งยังทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวน 30 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนแรกเพื่อสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ในวงกว้าง ผ่านการใช้สื่อโฆษณาเต็มรูปแบบทั่วประเทศ โดยมีแพนเค้ก-เขมนิต จามิกรณ์ นางเอกดาวรุ่งช่อง 7 สี เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมทั้งแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง 1.5 ล้านขวด ผ่านขบวนพาเหรดความสดชื่นทั่วทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ และในซุ้มของทรอปิคานาในห้างสรรพสินค้าท็อปส์, บิ๊ก ซี, เทสโก โลตัส และคาร์ฟูร์ ทุกสาขาทั่วประเทศ

ทว่าแม้จะปล่อยให้โค้กและไทยน้ำทิพย์ค่ายน้ำอัดลมคู่แข่ง ทำตลาดน้ำผลไม้ล่วงหน้าไปก่อน เป็นระยะเวลาหนึ่งปี แต่เป๊ปซี่ก็ตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดไว้ใกล้เคียงกับสแปลช “ในปีแรกคาดว่า ทรอปิคานา ทวิสเตอร์ จะมีส่วนแบ่งตลาด 6% จากตลาดน้ำผลไม้ 4,000 ล้านบาท” ชาลี จิตจรุงพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด กล่าว

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเข้ามาจับตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มของเป็ปซี่ครั้งนี้ นอกจากจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับค่ายน้ำอัดลมแล้ว ยังต้องเข้าไปต่อกรกับค่ายน้ำผลไม้ด้วยเช่นกัน ในจุดนี้การวางตลาดของ “ทรอปิคานา ทวิสเตอร์"นั้น มีแนวทางการทำตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม ที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดน้ำผลไม้อีโคโนมี 5-25% ซึ่งปัจจุบันจะเป็นผู้เล่นในตลาดรายเล็กที่ยังไม่มีมาตรฐานในการผลิตมากนัก และนิยมใช้กลไกด้านกลยุทธ์ราคาเป็นเครื่องมือในการทำตลาด โดยน้ำผลไม้เซกมเนต์อีโคโนมีนั้นน้ำผลไม้ยี่ห้อดีโด้ เป็นผู้นำตลาด ครองส่วนแบ่งตลาด 37% และสแปลชเป็นอันดับสอง ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 7-8% และที่เหลือเป็นรายเล็กรายน้อยที่มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกัน

น้ำผลไม้ 10% นำร่อง รับตลาดอีโคโนมี ฮอต

เหตุผลที่"ทรอปิคาน่า" ไม่ลงไปเล่นในตลาดน้ำผลไม้ 100% ซึ่งเป็นตลาดระดับบน ที่บริโภคมีกำลังซื้อนั้น ก็เพราะว่าเป็นตลาดที่มีการแข่งขันดุเดือดโดยมีแบรนด์ทิปโก้ ยูนิฟและมาลีเป็นผู้นำตลาด

แต่เลือกจะส่งสินค้าใหม่ลงตลาดน้ำผลไม้ 10 % เพราะเชื่อว่าแบรนด์ "ทรอปิคาน่า" ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำผลไม้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลกจะมีศักยภาพเพียงพอในการสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคคนไทยยอมรับได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเตรียมต่อยอดไปสู่การทำตลาดน้ำผลไม้ทุกเซกเมนต์ ทั้งน้ำผลไม้ 40% และน้ำผลไม้ 100%

ส่วนปัจจัยที่ต้องบุกตลาดน้ำผลไม้อีโคโนมี 5-25% เป็นสมรภูมิแรก นั่นก็เพระว่า น้ำผลไม้ 25% เป็นดาวดวงใหม่ในตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม ที่ผู้เล่นในตลาดหลายหันมาให้ความสำคัญในตลาดนี้ ซึ่งมีทั้งค่ายผู้ผลิตน้ำผลไม้ในประเทศ มาลีทีน มาลีทรอปิครอล และจากต่างประเทศ ที่ล่าสุดค่ายยูนิฟ ปรับเดลี่ซี น้ำผลไม้ 40% เป็นน้ำผลไม้ 25% ในรูปแบบขวดเพ็ทออกมาทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นเป็นหลัก

นอกจากนั้น ทิปโก้ผู้นำในตลาดน้ำผลไม้พรีเมียม ครองส่วนแบ่งตลาด 45% หลังจากขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 4 เท่า ก็มีเป้าหมายที่จะลงมาเล่นในตลาดน้ำผลไม้ตลาดล่างเพิ่มขึ้น จากครั้งแรกที่ออกน้ำผลไม้ 25 % ตราเตเต้ ล่าสุดเริ่มมีการนำสินค้าทดลองเข้าสู่ตลาด ภายใต้แบรนด์ Jupiter โดยวางแผนจับลูกค้าตลาดหลักในพื้นที่ต่างจังหวัด และตั้งเป้ามีส่วนแบ่งตลาดในปีแรกประมาณ 10-15% หรือ 155-233 ล้านบาท

สำหรับตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มมูลค่า 4 พันล้านบาท ที่มีอัตราการเติบโต 20%นั้น แบ่งเป็น 3 เซกเมนต์คือ ตลาดน้ำผลไม้ 100% (Premium Market) ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่ม 40% (Medium Market) และน้ำผลไม้ 5-25% (Economy Market)

ขณะที่อัตราการบริโภคน้ำผลไม้ต่อหัวต่อคนของประเทศไทย ในปี 2545 จาก 1.7 ลิตรต่อคนต่อปี จำนวน 113 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น เป็นทั้งปี 145 ล้านลิตรและ 2.2 ลิตรต่อคนต่อปีในปี2548 แต่ก็ยังมีการบริโภคที่น้อยกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในแถบยุโรป ซึ่งมีการบริโภคน้ำผลไม้เฉลี่ยประมาณ 35 ลิตรต่อคนต่อปี

อย่างไรก็ตาม น้ำผลไม้อีโคโนมียังเป็นตลาดขนาดใหญ่ ที่มีสัดส่วน 36% มูลค่าตลาดรวม 1,550 ล้านบาท และมีการเติบโตสูงถึง 26% รองจากตลาดน้ำผลไม้พรีเมียม 100% ที่มีสัดส่วนตลาด 48% นอกจากนั้น ด้วยพฤติกรรมการดื่มของลูกค้าของน้ำผลไม้อีโคโนมี ที่หวัง Benefit จากการดื่มน้ำผลไม้ ด้านรสชาติและเพื่อดับกระหายโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพมากนัก ในขณะที่พฤติกรรมการดื่มของลูกค้าในตลาดน้ำผลไม้ 40% เป็นกลุ่มที่กังวลและสนใจสุขภาพ แต่กำลังซื้อไม่ถึงน้ำผลไม้พรีเมี่ยม ที่มีความเข้มข้น100% ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในการบุกตลาดผลไม้ยกแรกของทรอปิคาน่า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us