แบงก์ทยอยประกาศผลการดำเนินงาน "ไทยพาณิชย์" เผยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 8.39 ล้านบาท โดยเป็นกำไรในไตรมาส 2 จำนวน 4.17 ล้านบาท ลดลง 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านแบงก์นครหลวงไทยประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 3,265 ล้าน ลดลง 1,256 ล้าน หลังต้องจ่ายภาษีเต็มจำนวน-ผลตอบแทนจากเงินลงทุนต่ำกว่าอัตราของตลาด พร้อมเตรียมปรับปล่อยสินเชื่อทั้งปีหลังครึ่งปีแรก
รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์แจ้งผลประกอบการเบื้องต้นสำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี 2549 มีกำไรสุทธิจำนวน 8,394 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 10,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.3% จากจำนวน 9,509 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของทั้งรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และในงวดครึ่งปีแรกนี้ธนาคารมีการจ่ายภาษีเงินได้จำนวน 2,246 ล้านบาท
สำหรับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2/2549 มีจำนวน 4,171 ล้านบาท ลดลง 2.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่มีกำไร 4,272 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานมีจำนวน 5,571 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 5,390 ล้านบาทในไตรมาสก่อน ขณะที่ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สิ้นเดือนมิ.ย.อยู่ที่ 9.2% จาก 8.76% ณ สิ้นมี.ค.
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารในไตรมาส 2 ปี 2549 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี สินเชื่อขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกๆกลุ่มธุรกิจ โดยในครึ่งปีแรกสินเชื่อขยายตัวถึง 6.6% จากสิ้นปี 2548 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นถึง 22.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin) อยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 3.4% รวมทั้งรายได้ค่าธรรมเนียมยังเติบโตต่อเนื่อง สำหรับหนี้มีปัญหาที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 0.4% เป็น 9.2% นั้น ธนาคารได้มีสำรองไว้เพียงพอแล้ว
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานรวมของธนาคารเป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่วางไว้ โดยธนาคารให้ความสำคัญกับการเติบโตควบคู่ไปกับคุณภาพ
ด้านนายอรุณ จิรชวาลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยถึงผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2549 ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,009 ล้านบาท ลดลง 1,256 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38.47%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 3,265 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารมีการจ่ายภาษีเต็มจำนวน 945 ล้านบาท และผลตอบแทนเงินลงทุนของธนาคารเพิ่มขึ้นช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ 1 ปีที่ผ่านมาจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 2.00% แต่ผลตอบแทนจากเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรรัฐวิสาหกิจอยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 0.5% ซึ่งธนาคารลงทุนอยู่ในพันธบัตร 1 แสนล้านบาทหรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของสินทรัพย์ลงทุนของธนาคาร
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเงินลงทุนดังกล่าวจะมีผลต่อกำไรสุทธิของธนาคารไปถึงกลางปีหน้า ซึ่งธนาคารเองได้พยายามปรับลดอายุเฉลี่ยของพันธบัตรเหลือ 2 ปีกว่า จากปัจจุบันที่ลงทุนในพันธบัตรระยะยาวอายุ 4-5 ปี
นายอรุณกล่าวอีกว่า มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารจะปรับลดเป้าสินเชื่อในปีนี้ลงจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ทั้งปี 4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในครึ่งปีแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อได้เพียง 1 หมื่นล้านบาท หรือต่ำกว่าเป้าหมายในครึ่งปีแรก 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารจะมีการประชุมคณะกรรมการในสัปดาห์หน้าเพื่อทบทวนเป้าดังกล่าว แม้ธนาคารจะมีการลดเป้าสินเชื่อลงแต่ธนาคารยืนยันว่าจะรักษากำไรจากการปล่อยสินเชื่อไม่ให้มีการปรับลดลง โดยปัจจุบันกำไรจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารอยู่ที่ 2.54% และมีนโยบายที่จะรักษาไม่ให้ต่ำกว่านี้ นอกจากนี้ อาจจะมีการเพิ่มในส่วนของสินเชื่อหมุนเวียนที่สามารถเพิ่มดอกเบี้ยได้ และเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยและเอสเอ็มอีมากขึ้นด้วย
สำหรับบริษัทในเครือของธนาคารที่ยังมีผลกำไรขาดทุนนั้น สิ้นปีนี้ธนาคารจะมีการทบทวนการถือหุ้นในบริษัทลูก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุน และบริษัทประกันชีวิต ที่ปัจจุบันถือหุ้นในสัดส่วน 100% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาอัตราการทำกำไรของบริษัทในเครือต่ำกว่าอุตสาหกรรม โดยธนาคารจะหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆเข้ามาถือหุ้นโดยอาจจะเป็นการขายหุ้นที่ธนาคารถืออยู่บางส่วน หรือมีการเพิ่มทุนเพื่อขายให้กับพันธมิตรแต่ธนาคารจะยังคงถือหุ้นเกิน 50%
ส่วนหาพันธมิตรร่วมทุนของธนาคารนั้น ปัจจุบันพันธมิตรต่างชาติที่มาหารือกับธนาคารมีจำนวนลดลงจากปีที่แล้วมาก เนื่องจากธนาคารไม่สามารถหาหุ้นมาจำหน่ายให้แก่พันธมิตรได้ เพราะไม่มีการเพิ่มทุน อีกทั้งกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินยังไม่ขายหุ้นออกมาในเร็วๆนี้ตามที่ประกาศว่าจะขายหุ้นออกธนาคารที่อยู่หากได้ราคาที่ดี
นางสาวอังคณา สวัสดิ์พูน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า กรรมการธนาคารจะมีการพิจารณาการจ่ายปันผลระหว่างกาล หลังจากที่ผู้สอบบัญชีมีการสอบบัญชีเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมการธนาคารจะพิจารณาว่าจะจ่าย ในระดับเท่าไหร่ ทั้งนี้โดยปกติธนาคารจะจ่ายเงินปันผลในสัดส่วน 40-50% ของกำไรสุทธิ และจะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม แม้ว่ากำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกจะลดลงประมาณ 1,200 ล้านบาทก็ตาม
|