แอลจี แก้เกมหนีวิกฤติเศรษฐกิจทำต้นทุนพุ่งสูงขึ้น ปรับทัพควบรวม 2 บริษัทระหว่าง แอลจีมิตร อีเลคทรอนิคส์ และโรงงาน รวมร่างเป็นทัพเดียว หวังช่วยลดคอร์ส พร้อมขนทัพสินค้าโฮมยูสครบเซ็ท เปิดศึกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนครึ่งปีหลัง ขยับเล่นตลาดล่าง งัดสินค้าพรีเมี่ยมลงแข่ง พร้อมปรับราคาสินค้าลง 10% มั่นใจสิ้นปีมีรายได้รวมพุ่งขึ้น 30%
นาย มิน ปาร์ค ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าเม็ดพลาสติกที่เป็นส่วนประกอบหลักในหมวดสินค้าเอชเอ รวมไปถึงค่าขนส่งที่ขยับตัวสูงขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีแผนที่จะลดปัญหาควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มากที่สุด เพื่อที่จะไม่ต้องมีการปรับราคาสินค้าแต่อย่างไร
ล่าสุดตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท แอลจี มิตร อิเล็คทรอนิกส์ จำกัด ได้ควบรวมกับโรงงานแอลจีที่ตั้งอยู่ในไทย รวมเป็นบริษัทเดียวกัน ภายใต้ชื่อ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้เกิดการบริหารการจัดการภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้บางส่วน รวมทั้งช่วยกระชับการทำงาน เช่น จากเดิมที่ต้องเช่าพื้นที่แวร์เฮ้าส์ สามารถใช้พื้นที่ภายในโรงงานจัดเป็นพื้นที่แวร์เฮ้าส์แทนได้
นอกจากนี้ทางบริษัทแม่ยังมีนโยบายบริหารการจัดการต้นทุน ด้วยระบบ โกลบอล ซอสซิ่ง คือ การรวมออเดอร์ในหลายประเทศเข้าไว้เป็นออเดอร์เดียวกันแล้วจึงสั่งซื้อ ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำลง รวมไปถึงแผนคอร์สอินโนเวชั่น โดยจะมีหน่วยงานหนึ่งจัดตั้งขึ้นมาเพื่อปรับปรุงการดีไซน์สินค้า เพื่อควบคุมและลดต้นทุนสินค้าได้ทางหนึ่ง เช่น การนำเอา ทีดีอาร์ โปรเจกต์ (Tear Down and Redesine Project) คือ การพัฒนาฟังก์ชั่นการทำงานของสินค้าให้ดีขึ้น ในขณะที่โครงสร้างภายในของสินค้ายังคงเดิม
แผนดำเนินธุรกิจปีนี้ต้องมีการปรับราคาสินค้าลงประมาณ 10% จำนวน 2-3 ครั้งที่ผ่านมา หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากพบว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง การที่ยังจะตรึงราคาคงเดิม จะทำให้ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ ทำให้ช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ จะเน้นนำผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีและดีไซน์ระดับไฮเอนด์มาวางจำหน่ายแทนที่ผลิตภัณฑ์ระดับล่างมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมั่นใจว่าทั้งปีบริษัทฯจะมีรายได้จากกลุ่มเอชเอเพิ่มขึ้นกว่า 30 %
ขนทัพเครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดสมรภูมิรบ
นายประภาส ประสิทธิยาพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ ดูแลสินค้าหมวดเอชเอ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าหมวดเอชเอในปีนี้ เชื่อว่าจะมีการเติบโตไม่มากนัก หรืออาจะเทียบเท่าปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่าประมาณ 35,000-38,000 ล้านบาท เนื่องจากจะเน้นการแข่งขันทางด้านราคาเป็นหลัก รวมไปถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ส่วนพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปตามรสนิยมและรูปแบบการใช้ชีวิตที่ทันสมัยมากขึ้น รวมถึงการแข่งขันสูงของสถาบันทางการเงิน ที่มีการจัดโปรโมชั่นการผ่อนชำระต่างๆ ทำให้พบว่านอกจากตลาดบนจะมีการเติบโตที่สูงขึ้นแล้ว ผู้บริโภคในระดับล่างยังมีแนวโน้มหันมาซื้อสินค้าในระดับกลางมากขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ ได้จัดงบการตลาดกว่า 500 ล้านบาท สำหรับการนำผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีและดีไซน์ระดับไฮเอนด์มาวางจำหน่ายแทนที่ผลิตภัณฑ์ระดับล่างมากขึ้น
ในขณะที่แผนการเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่มเครื่องซักผ้าอีก 3 โมเดล ในช่วงเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ราคาตั้งแต่ 20,000-25,000 บาท จับตลาดแมสเป็นหลัก โดยจะเป็นรุ่นฝาหน้าถังเดี่ยว ขนาด 8-14 กิโลกรัม จากที่ผ่านมามีเครื่องซักผ้าวางจำหน่ายอยู่แล้ว 4 โมเดลเน้นจับกลุ่มตลาดพรีเมี่ยมเป็นหลัก โดยแนวโน้มเครื่องซักผ้าถังเดี่ยวคาดว่าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากการที่ผู้บริโภคจะนิยมความสะดวกสบายมากขึ้น และเครื่องซักผ้าถังเดี่ยวในปัจจุบันสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้ ด้วยฟังก์ชั่นการทำงานที่ไม่ซับซ้อน ด้วยระบบออโต้ ตั้งเวลาการทำงานแต่ละชนิดได้
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เตรียมงบการตลาดอีกกว่า 50 ล้านบาท สำหรับทำตลาดเครื่องซักผ้าในช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้ เน้นบิโลว์เดอะไลน์ จัดกิจกรรม ณ จุดขายกว่า 70% และอะโบพเดอะไลน์ 30% มั่นใจว่าจะทำให้ครองความเป็นผู้นำด้วยแชร์ไม่ต่ำกว่า 25% เติบโตขึ้น 2-3% เป็นอย่างน้อย จากยอดขายเครื่องซักผ้าฝาบน 94% และฝาหน้า 6% ในขณะที่มูลค่าของตลาดรวมจะเติบโตขึ้น 10% คิดเป็นมูลค่า 9,000 ล้านบาท จำนวน 1.1 ล้านเครื่อง จากเดิมในปีที่ผ่านมาตลาดมีมูลค่า 8,000 ล้านบาท จากจำนวน 9 แสนเครื่อง ในขณะที่สัดส่วนสินค้าของตลาดเครื่องซักผ้าแบ่งได้เป็น ถังคู่ฝาบน 50% ถังเดี่ยวฝาบน 45 % และฝาหน้า 5%
สำหรับสินค้าในกลุ่มตู้เย็นนั้นจะมีการเปิดตัวใหม่อีก 2 รุ่น ในตระกูล ไซด์ บาย ไซด์ และตู้เย็นสองประตูพร้อมเทคโนโลยีไวตามินพลัส สำหรับเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง โดยราคาที่วางจำหน่ายนั้นจะสูงกว่าราคาปกติประมาณ 5% เนื่องจากสินค้าตู้เย็นจะเป็นการนำเข้าทั้งหมด โดยตระกูล ไซด์ บาย ไซด์ จะนำเข้าเกาหลี ส่วน 2 ประตูจะนำเข้าจากอินโดนีเซีย ในขณะที่ปีที่ผ่านมาบริษัทฯเป็นผู้นำตู้เย็นแบบไซด์ บาย ไซด์ มีมาร์เก็ตแชร์กว่า 30% ส่วนมูลค่าตลาดตู้เย็นโดยรวมในปีนี้คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประตูเดียว 60% ประตูคู่ 35 % และไซด์ บาย ไซด์ 3-5% ในขณะที่ตู้เย็นแบบประตูเดียวโตเพียง 1% แต่ไซด์ บาย ไซด์มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 18%
ส่วนผลิตภัณฑ์เตาอบไมโครเวฟนั้น ปีนี้คาดว่าจะออกเพิ่มอีก 10 รุ่น จากเดิมที่มีวางจำหน่ายอยู่แล้ว 6-7 รุ่น โดยรุ่นที่จะออกวางจำหน่ายนั้น จะเน้นเป็นไลน์อุ่นอย่างเดียว 6 รุ่น และไลน์อุ่นพร้อมกับย่าง 4 รุ่น ยังคงเป็นการเจาะตลาดแมสเป็นหลัก เนื่องจากพบว่าพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยยังใช้ไมโครเวฟส่วนใหญ่ในการอุ่นอาหารมากกว่าจะนำมาประกอบอาหารอย่างในยุโรป ดังนั้นฟังก์ชั่นการทำงานจึงไม่ซับซ้อน ทั้งนี้คาดว่าบริษัทฯ จะยังคงครองแชมป์อีกครั้ง ด้วยมาร์เก็ตแชร์ 43% จากเดิมในปีที่ผ่านมามีเพียง 33% ในขณะที่ตลาดรวมคาดว่าจะเติบโตขึ้น 11% คิดเป็นมูลค่า 1,500 ล้านบาท จากจำนวน 5 แสนเครื่อง
สุดท้ายผลิตภัณฑ์เครื่องดูดฝุ่น จะมีออกใหม่ประมาณ 8 รุ่น เน้นขนาดเล็กเทคโนโลยีไม่ซับซ้อน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคยังไม่ค่อยนิยมใช้ คาดว่าสิ้นปีจะมีแชร์ไม่ต่ำกว่า 18% ตามหลังชาร์ปที่เป็นผู้นำอยู่ไม่เกิน 2-3% ขณะที่ตลาดรวมคาดว่าจะโตเพียง 1% มูลค่าประมาณ 850 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนกว่า 3 แสนเครื่อง
|