|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาไล่ราคาหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กวิ่งเย้ยตลาดหลักทรัพย์ ช่วงภาวะตลาดหุ้นซบเซา เอเวอร์แลนด์ร้อนแรงไม่เลิกราคาวิ่งเกือบชนซิลลิ่ง ไล่ราคาช่วง 10 นาทีสุดท้าย พร้อมนำทีมหุ้นเก็งกำไรอื่นๆ "MME-IEC-POWER-THECO"แห่วิ่งตาม
โบรกเกอร์มองปัจจัยลบเยอะกดดันหุ้น นักลงทุนหันมาเก็งกำไรหุ้นถูก ติงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลใกล้ชิดหวั่นผู้ถือหุ้นรายย่อยได้รับความเสียหาย
ภาวะการซื้อขายหุ้นวานนี้ (19 ก.ค.) ในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นซบเซา เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกจากสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะปัญหาทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้หุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างหวือหวาและมีมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นบริษัทเอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือEVER ราคาปิดที่ 8.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.95 บาท หรือ 28.06% มูลค่าการซื้อขาย 340.46 ล้านบาทโดยราคาหุ้นมีการปรับขึ้นอย่างรุนแรงในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของปิดตลาดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน
หุ้นบริษัทไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MME ราคาปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 19.53% มูลค่าการซื้อขาย 156.49 ล้านบาท, หุ้นบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC ราคาปิดที่ 2.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท หรือ 8.11% มูลค่าการซื้อขาย 340.46 ล้านบาท, หุ้นบริษัทเพาเวอร์-พี จำกัด (มหาชน) หรือPOWER ราคาปิดที่ 2.88 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท หรือ 5.88% มูลค่าการซื้อขาย 108.88 ล้านบาท, หุ้นบริษัทไทยฮีทเอ็กซ์เช้นจ์ จำกัด (มหาชน) หรือTHECO ราคาปิดที่ 1.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ 4% มูลค่าการซื้อขาย 37.35 ล้านบาท
***11วันทำการ EVER พุ่ง 42%
ในส่วนของความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่ม (3 ก.ค.-19 ก.ค.) หุ้น EVER ราคาเพิ่มขึ้น 2.65 บาท หรือ 42.4% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 12.80 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 4.90 บาท, หุ้น POWER ราคาปิดเพิ่มขึ้น 0.66 บาท หรือ 29.72% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 3.44 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.20 บาท,หุ้นIEC ราคาปิดลดลง 0.32 บาท หรือ 11.76% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 2.78 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.04 บาท, หุ้นTHECO ราคาปิดลดลง 0.27 บาท หรือ 14.75% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 1.83 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1.48 บาท และหุ้น MME ราคาลดลง 1.35 บาท หรือ 15% โดยราคาสูงสุดในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 10.20 บาท และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 6.25 บาท
แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นเก็งกำไรหลายบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้น ซึ่งสวนทางกับภาวะตลาดหุ้นโดยรวมที่ซบเซานั้น เนื่องจากมีกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาไล่ราคาหุ้น โดยเฉพาะหุ้น EVER ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และมีการไล่ราคาในช่วงท้ายตลาด ซึ่งหุ้นบริษัท EVER ถือเป็นตัวจุดพลุทำให้หุ้นเก็งกำไรขนาดเล็กตัวอื่นๆ ราคาปรับตัวสูงขึ้นตามนักลงทุนที่แห่เข้ามาซื้อตามจึงควรที่จะระมัดระวัง
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและกลุยทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นขนาดเล็กเริ่มกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนโดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเป็นการตอบรับการไม่ปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่งผลดีกับภาระในเรื่องดอกเบี้ยของบริษัท ขณะที่หุ้นขนาดเล็กอื่นๆ เป็นการเข้ามาเก็งกำไรในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่สดใสเท่านั้น
ทั้งนี้การไม่สามารถปรับขึ้นได้ของหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่ราคาหุ้นก่อนหน้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากจึงส่งผลทำให้นักลงทุนหยุดการซื้อขายขณะที่บางกลุ่มหันมาเล่นหุ้นเก็งกำไรขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจที่นักลงทุนจะต้องจับตาคือเรื่องที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะมีการประกาศนโยบายเกี่ยวกับการปรับอัตรดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปว่าจะมีทิศทางอย่างไร
นายชัย จิรเสรีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นขนาดเล็กที่กลับมาคึกคักส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่ยังมีข่าวที่ยังสามารถใช้เก็งกำไรได้ ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการหรือการออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาหุ้นจึงได้รับความสนใจมากขึ้นโดยการแกว่งตัวระหว่างวันอาจจะสูงมาก
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์จะต้องเข้ามาดูแลในเรื่องความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเนื่องจากอาจจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนที่ไม่เข้าใจ ซึ่งทางบริษัทยอมรับว่ามีลูกค้าที่สนใจจะเข้าลงทุนจำนวนหนึ่งโดยคำแนะนำของบริษัททำได้เพียงการให้คำแนะนำถึงจุดตัดขายขาดทุนหากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากเท่านั้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หน่วยงานที่ดูแลให้ข้อมูลกับนักลงทุนในทุกสัปดาห์เกี่ยวกับปริมาณการซื้อขายหุ้นในรอบสัปดาห์ (Turn Over list) ก็น่าจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาก่อนจะเข้ามาลงทุนได้
**โบรกฯเชื่อQ4หุ้นพุ่ง
ด้านภาวะการลงทุนในคตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (19 ก.ค.) ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบๆสลับกันทั้งในแดนลบและแดนบวก ก่อนดัชนีปิดที่ 660.11 จุด เพิ่มขึ้น 0.53 จุด หรือ 0.08% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 664.21 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 657.06 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,827.77 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 320.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 145.02 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 175.85 ล้านบาท
นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรงในช่วงไตรมาสที่ 4/49 นี้ หลังจากในช่วงที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวลดลงค่อนข้างมากขณะที่ปัจจัยลบต่างๆ ทั้งจากนอกประเทศและในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ปัจจัยทางด้านการเมืองภายในประเทศแม้ว่าจะไม่มีความรุนแรงในแง่ของการประทะกันเกิดขึ้นก็ตาม แต่กลับส่งผลกระทบที่รุนแรงทางด้านจิตวิทยาทางความคิดมากกว่าซึ่งปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นปัญหาที่หาทางออกได้ยาก
ส่วนปัจจัยภายนอกนั้นยังคงต้องจับตาดูการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนสิงหาคม 2549 นี้ ซึ่งหากเฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลดีในระยะยาวต่อตลาดหุ้นไทย
สำหรับครึ่งปีหลังคาดว่าหุ้นกลุ่มพลังงานยังน่ามีความโดดเด่นอยู่เนื่องจากภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และกลุ่มธนาคารเนื่องจากผลกระทบระหว่างช่องว่างอัตรดอกเบี้ยไม่น่าจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานมาก
|
|
 |
|
|