เป็นธรรมเนียมประเพณีไปแล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปีเลยไปจนถึงย่างเข้าปีใหม่เหล่าบรรดาเซียนหุ้นและโหรเศรษฐกิจทั้งหลาย
จะต้องออกมทำนายทายทักถึงแนวโน้มหุ้นและภาวะเศรษฐกิจในปีต่อไป และตัวเลขการคาดการณ์เหล่านี้ก็มักจะมองข้ามไม่ได้เสียด้วยเนื่องจากเป็นสิ่งที่มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้คนในภาคธุรกิจ
เรื่อยมาจนถึงประชาชนเดินดินกินข้าวแกงเช่นเราท่านทั้งหลาย เพราะมีผลต่อเรื่องอัตราเงินเฟ้อและสินค้าราคาแพง
และปีนี้ก็เช่นกัน มีหลายสำนักที่จัดสัมมนาขึ้น
เริ่มจากบริษัทเทเลคอมเอเชียได้ร่วมกับรายการมันนี่ทอล์ค จัดสัมมนาแนวโน้มหุ้นในปี
2540 ขึ้นถือว่าเป็นงานใหญ่ในรอบปีที่เดียว มีผู้เข้าร่วมสัมมนาหลายท่าน
เช่น กรณ์ จาติกวณิช จากบริษัทเจเอฟธนาคม ก็ได้ทำนายว่าปีนี้ยังเป็นปีที่เศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงบอบช้ำอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา
สิ่งแรกที่จะเห็ดชัดเจนคือดัชนีราคาหุ้นยังไม่สามารถขยับตัวขึ้นสูงได้ แต่ทั้งนี้ยังต้องพึ่งทางรัฐบาลว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้คลี่คลายได้มากน้อยเพียงใด
"ในช่วงปีที่ป่านมานักลงทุนทางด้านสถาบันใหญ่ๆ ในต่างประเทศยังมองว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ให้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นน้อยที่สุดในโลก
และสร้างความผิดหวังให้นักลงทุนเป็นอย่างมาก จนเป็นผลให้มีการเทขายอย่างต่อเนื่อง
และเชื่อว่ากว่าที่จะกลับเข้ามาใหม่ต้องใช้เวลาอีกนาน หรืออย่างน้อยรัฐบาลต้องทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"
กรณ์ ชี้ว่าความจริงแล้วภาวะโดยรวมของเศรษฐกิจโลกก็ไม่ค่อยสดใสนักทำให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเอง
ก็ไม่ค่อยมีกำลังมากพอที่จะเข้ามาลงในตลาดหุ้นได้เช่นในอดีต ดังนั้นจึงแนะนำว่าหากนักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นก็ยังไม่ควรที่จะเร่งรีบควรจะต้องรอดูระยะเวลาให้ชัดเจน
แม้ว่าราคาหุ้นหลายตัวจะลดลงมากแล้วก็ตาม แต่กำลังซื้อของนักลงทุนรายย่อยในประเทศ
ยังไม่เหมือนนักลงทุนประเภทสถาบัน ซึ่งอาจเกิดการเพลี่ยงพล้ำในการลงทุนในหุ้นได้อีก
เนื่องจากมีหุ้นอยู่ประมาณ 200 ตัวที่มีแนวโน้มว่าน่าจะฟื้นตัวได้ยาก และนักลงทุนต่างชาติยังคงเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักเช่น
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เงินทุนหลักทรัพย์
ซึ่งความเห็นของกรณ์นั้นส่วนใหญ่จะสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับ ดร.ก้องเกียรติ
โอภาสวงการ ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ แอสเซทพลัส ที่กล่าวเสริมว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในปี
2540 คงจะแกว่งตัวในลักษณะที่ผันผวน และมีการดีดขึ้นแรงในบางช่วง เพื่อทดสอบว่าจะสามารถไปต่อได้หรือไม่
หากภาวะเศรษฐกิจดีก็คงจะปรับตัวต่อเนื่องแต่ไม่มากนักแต่ถ้าภาวะเศรษฐกิจไม่ดีก็คงจะปรับกลับมาที่เดิมและแกว่งตัวผันผวน
ดร.ก้องเกียรติ บอกด้วยว่า "ประเด็นสำคัญของตลาดหุ้นปีนี้อยู่ที่
ภาพรวมของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หากยังไม่ดีขึ้นจะมีผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
และบางทีค่าเงินบาทก็อาจจะกำลังจับตามองในจุดนี้ในทางลบสูง"
สถานะของสถาบันการเงินก็เป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนอาจเกิดความหวั่นเกรงได้ว่า
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจะทำให้สถาบันการเงินตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญได้เพียงพอหรือไม่
เพราะอาจก่อหนี้เสียได้ในอนาคต
ทางด้านอัตราผลตอบแทนกำไรสุทธิที่ลดลง 14.5% ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาจากที่เคยคาดการณ์ว่าจะดีขึ้นในช่วงต้นปี
แต่แล้วในไตรมาสที่ 4 ของปี 2539 ก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจบางประเภทจะเกิดความเสื่อมขึ้น
เช่นสถาบันการเงิน
ทางด้านโกศล ไกรฤกษ์ ประธานกรรมการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ตะวันออกฟายแน้นซ์กล่าวว่า
วิธีการแก้ไขปัญหาที่จะให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาอีกครั้ง จะต้องมีการแก้ไขกฎเกณฑ์บางส่วน
คือปรับอัตราภาษีนิติบุคคลให้ต่ำลง มีกฎหมายครอบคลุมไม่ให้ล้าสมัยที่จะก่อให้เกิดเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ควรมีความโปร่งใสในการประมูลงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐ ไม่มีปัญหาการคอร์รัปชั่นอย่างโจ่งแจ้งจากคนของรัฐ
รวมทั้งรัฐบาลไม่ควรมีกฎเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อน และนโยบายการค้าเสรี จะต้องมีหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่ชัดเจน
เขาเชื่อว่า
"ในความเป็นจริงแล้วเรายังมีบางส่วนที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับเขาได้
คือมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูง และมีงบประมาณเกินดุลติดต่อกันเป็นปีที่
10"
ท่านสุดท้ายในการสัมมนาครั้งนี้คือ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ที่สนใจเรื่องเศรษฐกิจและการเงิน
เขาบอกว่าทิศทางการฟื้นตัวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปี 2540 นี้ขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลักโดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ซึ่งหากปรับตัวลดลงได้ จะทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการขยายตัวของการส่งออก
หากสามารถขยายตัวอยู่ในราว 6-7% ตลาดหุ้นก็จะตอบสนองในทางที่ดีขึ้น ถือว่าเป็นคำคาดการณ์ที่สร้างความอบอุ่นให้กับเซียนหุ้นได้ชุ่มชื่นหัวใจได้บ้าง
แม้ว่าจะดูลางเลือนเต็มทีก็ตาม