pico เผยผลงานไตรมาส 3 ยังเติบโตระดับ 15% และครึ่งปีหลังใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก แจงการเมืองและปัจจัยรอบด้าน อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานโดยรวมของปี 50 เพราะลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์หากชะลอการออกรถรุ่นใหม่ จะส่งผลต่อการรับงานของบริษัท เตรียมหางานในมือเพิ่มพร้อมรุกหาลูกค้าในต่างประเทศลดความเสี่ยง

นายพิเสฐ จึงแย้มปิ่น ประธานเจ้าหน้าบริหาร บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) (PICO) เปิดเผยว่าผลงานไตรมาส 3 ที่กำลังจะประกาศออกมาว่าน่าจะเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในระดับ 15% จากปี 48 และเชื่อว่าไตรมาสสุดท้ายก็น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และจะทำให้ผลงานโดยรวมของครึ่งปีหลังเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกก็น่าจะไม่ต่างกันมากด้วย จึงเชื่อว่าเป้าหมายของการเติบโตของรายได้จะเป็นไปตามที่ตั้งไว้

เนื่องจากการรับรู้รายได้ของบริษัทจากพิพิธภัณฑ์ที่เป็นงานแบบรับรู้แบบต่อเนื่อง เพราะงานเป็นแบบระยะยาว ที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องกันไปไม่ต่ำกว่า 6 เดือนหรือ 1ปี อีกทั้งงานเดิมที่มีการติดต่อกันกับลูกค้าต่อเนื่อง

"ที่สำคัญเราได้งานเฉลิมพระเกียรติฉลองการครองราชย์ครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทำให้เราได้งานเพิ่ม เป็นงานพิเศษที่เราได้มานอกเหนือจากงานเดิมที่เคยประมาณกันไว้ก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่เราดีมาก เพราะเราได้มาประมาณ 40-50 ล้านบาทสำหรับโครงการนี้ แม้จะเป็นโครงการสั้น ๆ แต่ก็มีเป็นตัวเลขรายได้ที่เราพอใจ " นายพิเสฐกล่าว

นายพิเสฐ กล่าวเพิ่มว่าบริษัทต้องพยายามหางานในมือ (BACK LOG)เพิ่ม โดย ณ สิ้นปี49 บริษัทมีงานในมือประมาณ 200 ล้านบาท และบริษัทต้องพยายามหางานเพิ่มด้วยเช่นกัน แม้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจนี้

นายพิเสฐกล่าวถึงการดำเนินงานในปี 50 ว่าหากการเมืองยังมีปัญหาและไม่จบลง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวมแน่นอน เพราะอย่างน้อยผู้ประกอบการรถยนต์ก็เริ่มชะลอการผลิตออกมาให้เห็นแล้ว และ PICO ซึ่งทำหน้าที่ในการจัดงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรรรถยนต์ก็ต้องได้รับผลกระทบเป็นต่อเนื่องกัน เพราะรถบางยี่ห้อก็ชะลอที่จะออกสู่ตลาด เนื่องจากรอดูเหตุการณ์บ้านเมืองก่อน

" เพราะงานมอเตอร์โชว์ เป็นงานที่เรามีลูกค้าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หลายรายและได้รับความไว้ใจในการจัดงานทุกปี หากการผลิตรถยนต์ชะลอเราย่อมได้รับผล แต่ปีหน้าเรายังคาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% เหมือนที่เคยเราตั้งไว้ ทั้งที่กลุ่มของเราทั่วโลกตั้งกันไว้ระดับ 20% แต่ตัวเลขเราต้องมาดูกันอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ เพราะทิศทางและหลายปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานในปีหน้าได้ " นายพิเสฐกล่าว

นายพิเสฐกล่าวต่อว่าจากปัจจัยภายนอกที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินงาน PICO จากเดิมที่นอกจากการรุกงานในประเทศเป็นหลักแล้ว ยังต้องเพิ่มการรุกงานในต่างประเทศมากขึ้นด้วย และงานที่เป็นระยะยาวอย่างงานพิพิธภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น เพราะการรับรู้รายได้จะทยอยรับรู้เป็นระยะเวลาแรมปี เช่น งานพิพิธภัณฑ์ศูนย์การเรียนรู้ การจัดงานให้ลูกค้าต่างประเทศ รวมทั้งงานอีเว้นท์เพื่องานแสดงสินค้าต่าง ๆ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2 ปีนี้ที่ผ่านมานั้น PICO ก็ได้รับผลดีจากการจัดงานบางกอกมอเตอร์โชว์ จากที่คิดว่าจะตกลงจากปีก่อน แต่กลับพบว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และในฐานะบริษัทดำเนินธุรกิจด้านแบรนด์อิมเมจ ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์ทางการตลาดของลูกค้า และงานบางกอกมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ PICO เป็นผู้นำราย ใหญ่ที่สุด จึงดันให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

สำหรับผลงานในงวดดังกล่าว PICO มีรายได้รวมของบริษัท งวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2549 เพิ่มขึ้นจาก 406.4 ล้านบาท เป็น 538.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นเงิน132.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 32.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 28.5 ล้านบาท เป็น 38.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นเงิน 10.4 ล้านบาทหรือร้อยละ 36.6 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ปัจจุบัน สัดส่วนของรายได้ของ PICO มาจากลูกค้ากลุ่มรถยนต์ 50% รัฐบาล ,รัฐวิสาหกิจ และเอกชน 10% สื่อสาร การเงินและ การธนาคาร 30% และอื่น ๆ อีก 10% ซึ่งบริษัทก็ยังจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยให้ได้ในระดับที่เคยทำไว้ดังกล่าวด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมี งานที่เข้าร่วมประมูลและรอผลการพิจารณาอีกด้วย