Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 กรกฎาคม 2549
ตลาดหุ้นไทยร่วง13จุดหวั่นสงคราม             
 


   
search resources

Stock Exchange




ดัชนีตลาดหุ้นไทย ร่วงระนาวกว่า 13 จุด เหตุนักลงทุนกังวลสงครามระหว่างอิสราเอล-เลบานอลบานปลาย ขณะที่ต่างชาติเริ่มกลับลำเข้ามาลงทุนอีกรอบ 2 สัปดาห์ยอดซื้อสุทธิเกือบ 1.2 หมื่นล้านบาท ด้านผู้ว่าแบงก์ชาติ ขานรับทุนเคลื่อนย้ายเข้าไทย หลังดอลลาร์อ่อนค่า คาดกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายรุนแรงอีก 2 ปี ส่วนการเดินทางไปโรดโชว์ที่สิงคโปร์ของคลัง-ตลาดหุ้น นักลงทุนตอบรับเพียบ "ศุภวุฒิ" ชี้ต่างชาติยังห่วงปัญหาการเมืองในประเทศมีเป็นอันดับหนึ่ง เผยไม่ได้ตั้งเป้าเม็ดเงินลงทุนเข้ามาตลาดหุ้นไทย ระบุต้องการชี้แจงและให้ข้อมูลเพื่อสร้างความมั่นใจ

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ (13 ก.ค.) ดัชนีเปิดตลาดช่วงเช้าในแดนบวกก่อนจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในช่วงบ่าย เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับประเด็นสงครามระหว่างอิสราเอลและเลบานอนผู้ส่งออกน้ำมันที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น รวมถึงความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำร้องเสนอให้ยุบพรรค 5 พรรค

โดยดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาปิดที่จุดต่ำสุดที่ 672.34 จุด ลดลง 13.68 จุด หรือ 1.99% ขณะที่จุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 686.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,708.11 ล้านบาท ทั้งนี้การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 24.60 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 530.48 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 555.08 ล้านบาท

จากการสำรวจปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน - 12 กรกฎาคม (รวมทั้งสิ้น 16 วัน) โดยประเด็นหลักที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจคือ ราคาหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ทำให้ยอดการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 11,638.22 ล้านบาท ก่อนที่จะขายสุทธิเมื่อวานนี้ ขณะมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังสูงกว่า 7.1 หมื่นล้านบาท

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเกิดจากนักลงทุนมีความกังวลในเรื่องสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน ซึ่งทหารของเลบานอนมีการจับตัวทหารของอิสราเอลไว้ 2 คน และการโจมตีแหล่งน้ำมันของอิตาลีในประเทศแอลจีเรีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุ 75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้ง จึงทำให้มีความกังวลในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบในประเทศคือ การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับวินิจฉัยเรื่องการยุบ 5 พรรคการเมืองยังคงต้องรอผลการพิจารณาว่าจะออกมาอย่างไร รวมถึงเรื่องการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่นเกี่ยวกับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้นักลงทุนกังวลและขายหุ้นออกมา โดยตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวลดลงแรงสุดถึง 4.9%

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่านักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องสถานการณ์ทางตะวันออกกลางต่อเนื่อง หากสถานการณ์ไม่รุนแรง ดัชนีอาจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แต่ไม่มาก โดยมองแนวรับที่ระดับ 666-668 จุด แนวต้านที่ระดับ 677-679 จุด

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.แอ๊ดคินซัน หรือ ASL กล่าวว่า ผลกระทบจากความรุนแรงในตะวันออกกลางทำให้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในแถบยุโรป และตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคมีการปรับตัวลดลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขายน้ำมัน

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่ายังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางตะวันออกลางประกอบกับตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยแนะนำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงจากที่ตลาดหุ้นมีปัจจัยลบต่างๆ เช่น เศรษฐกิจมีการชะลอตัว ปัจจัยทางการเมือง ปัจจัยทางต่างประเทศ โดยมองแนวรับที่ระดับ 666 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)หรือ CNS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงตลาดหุ้นทั่วโลกจากความไม่สงบในแถบตะวันออกกลาง ประกอบกับการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีการรับวินิจฉัยการยุบ 5 พรรคการเมือง จึงทำให้นักลงทุนมีความกังวลจึงมีการขายหุ้นออกมา

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมองแนวรับที่ระดับ 662-660 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ธนชาต กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติได้เริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิรวมกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทำให้อาจจะมีสัญญาณการขายทำกำไรออกมาบ้างเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากปัจจัยลบต่างๆ

***ธปท.เผยเงินทุนไหลเข้าไทย-เอเชีย

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลกลับเข้ามาในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย เป็นเงินทุนจากนักลงทุนนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ส่งผลทำให้ค่าเงินบาท ปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามทิศทางดังกล่าว ซึ่ง ธปท.เข้าไปแทรกแซงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ธปท.ก็ต้องดูแลไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนหวือหวาเกินไป และคาดว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ยังคงมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอยู่ ตราบใดที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังมีปัญหา โดยล่าสุดดุลการค้าสหรัฐขาดดุลเพิ่มขึ้น

"การไหลกลับของเงินทุนต่างชาติในครั้งนี้ไม่รุนแรง ธปท.สามารถที่จะรับมือได้ ส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในระยะสั้นๆ ไม่ใช่ระยะยาว ขึ้นกับภาวะตลาด ค่าเงิน และผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในหุ้น"

ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุว่า ภาพรวมช่วง 4 เดือนแรกของปี 2549 มีเงินทุนไหลเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเดือนเมษายน แต่ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงการปิดงวดบัญชีครึ่งปีของบริษัทต่างๆ นักลงทุนต่างชาติมีการส่งกำไรกลับประเทศตนเอง แต่ขณะนี้เม็ดเงินลงทุนได้กลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งแล้ว

"ทิศทางตลาดหุ้นไทย ในอีก 2 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น เพราะยังมีเงินทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย รวมทั้งค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถขับเคลื่อนได้ต่อไปแม้จะไม่มีรัฐบาลถาวรก็ตาม โดยมาจากการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง"

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ปัจจุบันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ระดับ 8% และเงินฝากเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3% ถือว่าเป็นระดับที่ภาคธุรกิจสามารถรับได้ ส่วนการที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น เพราะเงินฝากยังขยายตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าการขยายตัวของสินเชื่อ นอกจากนี้แม้ธนาคารพาณิชย์จะมีการปล่อยสินเชื่อได้น้อยกว่าเงินฝาก แต่ธนาคารพาณิชย์กลับได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรที่ดีกว่า

นอกจากนี้ ในวันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคมนี้ นายทนง ทิพยะ รักษาการ รมว.คลัง เตรียมเข้ามาพูดคุยกับตนและนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการ รมว.พาณิชย์ ในการประชุมทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน

***ต่างชาติกังวลปัญหาการเมือง

ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดงานบรรยายข้อมูล (โรดโชว์) ที่ประเทศสิงคโปร์ เปิดเผยว่า การเดินทางไปโรดโชว์ในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันค่อนข้างดี โดยมีกองทุนประมาณ 35 แห่ง ซึ่งมีเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นประมาณมากกว่า 50%ของนักลงทุนสถาบันเข้าร่วมฟังข้อมูล

ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนสถาบันต่างให้ความสนใจสอบถามข้อมูล ประเด็นหลัก คือความชัดเจนทางด้านการเมืองรวมถึงความเป็นไปได้ถึงการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ซึ่งหากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้จะเป็นอย่างไร รวมถึงหากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในวันดังกล่าวได้การเลือกตั้งอีกครั้งจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่

นอกจากนี้ ประเด็นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจสอบถามเพิ่มเติมทั้งในเรื่องนโยบายการคลังในภาวะที่การเมืองยังไม่ชัดเจนจะมีความยืดหยุ่นมากน้อยเพียงไร รวมทั้งนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นอย่างไร

"การได้มีโอกาสชี้แจงและให้ข้อมูลกับนักลงทุนในช่วงที่ไม่เป็นปกติ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและยังบ่งบอกได้ถึงความเป็นมืออาชีพ เพราะการให้ข้อมูลในช่วงที่ภาวะเป็นปกติถือว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย" นายศุภวุฒิ กล่าว

สำหรับการเดินทางไปในครั้งนี้ ได้มีการเชิญบริษัทจดทะเบียนจำนวน 10 บริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบายทางภาครัฐ โครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคาร เพื่อให้ข้อมูลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งนักลงทุนสถาบันได้มีการนัดเพื่อขอทราบรายละเอียดกับบริษัทจดทะเบียนต่างๆเพื่อเป็นข้อมูลในการใช้ประกอบการตัดสินใจเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม การจัดงานในครั้งนี้ไม่ได้คาดหวังจำนวนเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลักแต่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศให้มากขึ้นทั้งในเรื่องเศรษฐกิจและสังคม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us