สำหรับสุพจน์ ทรัพย์ทวีชัยกุล อดีตผู้จัดการใหญ่ของเบทาโกที่เห็นดำริห์ตั้งแต่สมัยหิ้วกระเป๋าเรียนอยู่ที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน
และเมื่อจบปริญญาตรีเกียรติยมจากคณะวิศวกรรม จุฬาฯก็เข้ามาฝึกงานทำงานกับเขากว่าสิบปี
ที่บริษัทเบทากร ซึ่งบิดาดำริห์ผู้ถืหุ้นใหญ่ร่วมก่อตั้งกิจการตั้งแต่ปี
2510 ดำริห์ไต่เต้าจากผู้ช่วยผู้จัดการโรงงานจนกระทั่งตำแหน่งสุดท้ายคือรองประธานกรรมการลบริษัทเบทาโกร
ยักษ์ใหญ่อาหารสัตว์รายหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 20 กว่าแห่งและมีส่วนแบ่งตลาด
12%
น้ำตาที่คลอเบ้ากับประโยคขึ้นต้นก่อนทุก ๆ ครั้งว่า " HURT เสียใจและเสียดาย
…." ตลอดการสนทนากับสุพจน์ เป็นความรู้สึกสะเทือนในรุนแรงสำหรับผู้อาวุโสท่านนี้
ซึ่งเปรียบประดุจญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของครอบครัวก่อนนันทเกียรติด้วย
"เสียดายจริง...เราเคยทำงานด้วยกันสิบกว่าปี พอเสร็จงานทุกเย็นดำริห์จะมานั่งคุยกันที่ห้อง
แล้วไปกินข้าวกินเหล้ากัน พอผมรีไทร์จากเบทาโกร เขายังชวนผมว่าพี่ว่าง ๆ
มาช่วย(หน่อย สักครึ่งวันก็ดี จะได้ปรับปรุงทุกอย่างให้ดีขึ้น ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุเศร้าใจอย่างนี้"
"ผมคิดว่าดำริห์เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสียและเชื่อมั่นในตัวเองสูง
ทำอะไรก้ประสบความสำเร็จมาตลอด แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ชนตอแรง ๆ อย่างนี้
ก็คิดไม่ตก น่าเสียดายจริง ๆ ....ผมคิดว่านี่เป็นบทเรียนอนุชนรุ่นหลังว่า
ดำริห์เขาเป็นผู้นำที่ดี เขากล้าคิดกล้าทำ แต่ถ้ามีปัญหาอย่าคิดสั้น ต้องมีกำลังใจสู้ฝ่ามรสุมไปให้สำเร็จ
"ผมอยากให้รัฐบาลช่วยภาคเอกชน เพราะเขาลุยมากเหลือเกินกว่าจะเอาธงไทยไปปักที่อเมริกาหรือยุโรปได้
จะเป็นกำลังและทำให้กลยุทธ์ด้านต้นทุนถูกลง ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น" นี่คือคำขอของสุพจน์
ที่สะท้อนบทเรียนจาการจากไปของคนที่เขารัก