|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ไอซีทีชี้จำเป็นต้องเลื่อนประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์หรืออี-ออคชั่น สมาร์ทการ์ดไปเป็นวันที่ 19 ก.ค.นี้ เหตุคณะกรรมการเทคนิคตรวจสอบไม่ทัน อ้างต้องลงลึกตรวจทุกใบ ของทั้ง6 รายรวม 600 ใบ หวั่นบัตรไม่ตรงตามทีโอาร์และเกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม จนส่งมอบไม่ได้
นายเทิดศักดิ์ แพทยานันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที เปิดเผยว่าการประกวดราคาจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ (Smart Card) ด้วยวิธีประกวดราคาแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออคชั่น จำนวนล็อตแรก 13 ล้านใบจากทั้งหมด 26 ล้านใบ จากกำหนดเดิมที่จะต้องดำเนินการในวันที่ 12 ก.ค.นี้ กระทรวงไอซีที มีความจำเป็นต้องเลื่อนการอี-ออคชั่น ไปในวันที่ 19 ก.ค. นี้ เนื่องจากขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพบัตรยังไม่แล้วเสร็จครบตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามข้อกำหนดในการประกวดราคา (ทีโออาร์)
“การเลื่อนอี-ออคชั่นเป็น 19 ก.ค.เพราะได้คาดเวลาผิด เนื่องจากกรรมการด้านเทคนิคจะต้องทดสอบบัตรของผู้เข้าประกวดราคาทั้ง 6 รายๆละ 100 ใบอย่างละเอียดให้เป็นไปตามทีโออาร์โดยเฉพาะตัวแอปพลิเคชั่นจาวา นั้นมีถึง 1 พันรายการ จึงทำให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกสัปดาห์หนึ่ง”
อย่างไรก็ตามขั้นตอนการตรวจสอบทางเทคนิค จะต้องโปร่งใสและไม่มีมีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะคณะกรรมการประกวดราคาทั้ง 5 คน มี 1 คนที่เป็นคนนอกและมีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคเป็นอย่างมาก อีกทั้งการทดสอบประสิทธิภาพบัตร ทั้งในด้านซอฟต์แวร์ และ แอปพลิเคชั่น ที่จะนำมาบรรจุไว้ คณะกรรมการจะทำการทดสอบบัตรทุกใบ ไม่มีการสุ่มหรือเลือก เพื่อให้การทดสอบนั้นเกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายและสามารถคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมได้มากที่สุด
นายเทิดศักดิ์ กล่าวอีกว่า การที่คณะกรรมการเทคนิค จะต้องขอเลื่อนเวลาออกไปอีกนั้น เพื่อให้การทดสอบต่างๆเกิดความลงตัวให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ปัญหาในด้านการบรรจุซอฟต์แวร์ หรือ การนำไปใช้แล้วมีปัญหา เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา โดยครั้งนี้กระทรวงไอซีที จึงจำเป็นต้องดำเนินการอย่างรัดกุมที่สุด ก่อนที่จะเข้ากระบวนการ อี-ออคชั่น
ทั้งนี้ในขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการประกวดราคา จะรอเอกสารจากคณะกรรมการฝ่ายเทคนิค ที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกินวันศุกร์ที่ 14 ก.ค.และในสัปดาห์หน้าคณะกรรมการจะทำการประชุม สรุปผลจากขั้นตอนทั้งหมด ว่ามีผู้ผ่านกี่ราย เพื่อให้ได้ผู้ที่เหมาะสมเข้าสู่กระบวนการ อี ออคชั่น ต่อไป
“ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครได้ ใครผ่าน ซึ่งในส่วนนี้จะนำผลเข้ามารวบรวมอีกครั้ง โดยเมื่อได้แล้ว ทางกระทรวงไอซีทีก็จะแจ้งไปยังผู้เข้าแข่งขันเอง ก่อนวันเข้าอี-ออคชั่น โดยรายชื่อนั้นจะไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากข้อกำหนดที่ระบุไว้ตามประกาศของกรมบัญชีกลาง ในการจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานราชการ บอกได้แค่ว่าผ่านกี่ราย และตกเพราะอะไร”
สำหรับขั้นตอนในการตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมดของผู้ยื่นซองทุกรายในเบื้องต้นทุกรายได้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ โดยบริษัทเอกชนเข้าร่วมยื่นซองเป็นลักษณะกลุ่มกิจการค้าร่วม(Consortium) และลักษณะกิจการร่วมค้า(Joint Venture) เป็นจำนวน 6 กลุ่ม จากก่อนหน้านี้ได้มีผู้สนใจเข้าซื้อซองเพื่อประกวดราคาจำนวน 37 ราย
การจัดประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการจัดซื้อครั้งที่2 ของกระทรวง ไอซีที ที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดซื้อ โดยได้เริ่มตั้งแต่ในปี 2547 จากเฟสแรก จำนวน 12 ล้านใบ มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยกิจการร่วมค้าเอ็กซอลโตและจันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง เป็นชนะการประมูลสมาร์ทการ์ด ด้วยวงเงิน 1,370 บาท โดยต่ำกว่าราคากลาง 70 ล้านบาท ซึ่งบัตรมีมูลค่าใบละ 114 บาท
โดยการประมูลในครั้งนั้นได้มีบริษัทที่สนใจเข้าซื้อซองทีโออาร์ประมาณ 32 ราย แต่เข้ายื่นซองเพื่อเข้าประมูลเพียง 3 ราย และมี 2 รายที่มีคุณสมบัติพร้อมในการประมูลครั้งนี้ คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า เอส.เอส.ไอ และไอ.ซี.เอส ประกอบด้วย บริษัท สมาร์ทการ์ด ซิสเต็มส์ อินเตอร์เนชั่นแนล และโอเบอร์ทัว การ์ด ซิสเต็มส์ โดยจ้างบริษัทไทย บริติช ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด(มหาชน) พิมพ์บัตร บริษัท จี&ดี บริษัท ทีอีซีโอ ไต้หวัน จำกัด บริษัท Giesecker&Devrient Gmbhontel Card Indutry และกลุ่มกิจการร่วมค้า จันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง และเอ็กซอลโต้
|
|
|
|
|