คลังหืดขึ้นคอ ยอดจัดเก็บรายได้เดือน มิ.ย. 49 ต่ำกว่าปี 48 อ้างจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วน 9 เดือนแรกเกินเป้าหวิว 1.7 พันล้าน ลุ้นทั้งปีไม่หวังมากแล้วขอแค่ได้ตามเป้า 1.36 ล้านล้าน เชื่อทำได้แม้เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายชะลอตัว เผยตามคาด 3 กรมภาษี สรรพากรรอดตัว สรรพสามิตกับศุลกากรต่ำต่อเนื่อง ส่วนรัฐวิสาหกิจ ทีโอทีส่งรายได้ต่ำกว่าเป้าถึง 1.77 พันล้าน
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลเดือนมิถุนายน 2549 สูงกว่าประมาณการ 1,709 ล้านบาท และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 (ตุลาคม 2548-มิถุนายน 2549) รัฐบาลยังคงจัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการ 7,738 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วเพียง 69,660 ล้านบาท
"เดือนมิถุนายน 2549 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 86,436 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 1,709 ล้านบาท หรือ 2.0% แต่ต่ำกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้ว 0.5% เนื่องจากได้มี การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตาม พรบ. กำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจฯ จำนวน 18,518 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 10,459 ล้านบาท หรือ 129.8%" นายสมชัยกล่าว
หน่วยงานที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ ได้แก่ กรมสรรพากรซึ่งสูงกว่าประมาณการ 2,659 ล้านบาท ภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 4.9% และสูงกว่าปีที่แล้ว16.9% นอกจากนี้ การนำส่งรายได้ของส่วนราชการอื่นยังสูงกว่าประมาณการ 6,240 ล้านบาท เนื่องจากได้รับรายได้จากเงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจากผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมนำส่งคลัง 7,810 ล้านบาท สูงกว่าที่คาดไว้ 6,310 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากราคาปิโตรเลียมที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับหน่วยงานที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ ได้แก่ กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 1,934 ล้านบาท หรือ 7.4% และ 2,334 ล้านบาท หรือ 22.4% ตามลำดับ ตลอดจนการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจต่ำกว่าประมาณการ 3,400 ล้านบาท หรือ 26.4% เนื่องจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นำส่งรายได้ต่ำกว่าประมาณการ 1,776 ล้านบาท นอกจากนี้ การท่าเรือ แห่งประเทศไทย และธนาคารออมสินได้นำส่งรายได้ก่อนกำหนด
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 (ตุลาคม 2548 – มิถุนายน 2549) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,004,319 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 7,738 ล้านบาท หรือ0.8% สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 7.5% ซึ่งเป็นผลจากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร และการนำส่งรายได้ของหน่วยงานอื่นที่สูงกว่าประมาณการ
ส่วนผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้ กรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 748,953 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 37,049 ล้านบาท คิดเป็น 5.2% สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว14.9% ภาษีที่เก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้ปิโตรเลียมจัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ 15,234 และ 8,665 ล้านบาท หรือ5.1% และ 21.2% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคในประเทศสูงกว่าประมาณการ 11.5% และสูงกว่าปีที่แล้ว 17.8% ซึ่งสอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2549 ที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดี
ด้านกรมสรรพสามิต จัดเก็บได้รวม 205,416 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 27,260 ล้านบาท หรือ 11.7% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 4.8% โดยภาษีน้ำมันได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่ภาษีรถยนต์ได้รับผลกระทบจากปริมาณรถยนต์นั่งที่มี ซี.ซี. สูง ระหว่าง 2001-2500 ซี.ซี. และ 2500-3000 ซี.ซี. ซึ่งเสียภาษีในอัตราที่สูงถึง 35-40% ลดลงจากช่วงเดียวกัน ของปีที่แล้วประมาณ 40%
ขณะที่กรมศุลกากร จัดเก็บได้รวม 72,737 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 16,463 ล้านบาท คิดเป็น18.5% ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว12.0% เนื่องจากอากรขาเข้าจัดเก็บได้ ต่ำกว่าประมาณการ 17,419 ล้านบาท หรือ 19.8% โดยได้รับผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากร และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
สำหรับหน่วยงานอื่น นำส่งรายได้รวม 121,405 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 18,839 ล้านบาท คิดเป็น 18.4% เนื่องจากทั้งส่วนราชการอื่น และรัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ โดยรายได้ส่วนราชการอื่นได้จากค่าภาคหลวงปิโตรเลียม และรายได้จากเงินผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษจากผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมสูงกว่าประมาณการ
"การคาดการณ์รายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2549 จากผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2549 ซึ่งยังเกินเป้าหมาย 7,738 ล้านบาท และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2549 ที่อาจจะชะลอตัวลงบ้าง กระทรวงการคลังคาดว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีงบประมาณ 2549 จะใกล้เคียงกับประมาณการตามเอกสารงบประมาณที่ตั้งไว้ที่1.36 ล้านล้านบาท" โฆษกกระทรวงการคลังกล่าว
|