ผู้บริหารซินเท็คฯยันปีนี้รายได้เติบโตกว่า 10-15% เหตุมีงานภาคเอกชนไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประเดิมก่อสร้างงานบ้านเอื้ออาทรที่รับมาส่วนแรกโซนบางนา-ลาดกระบังประมาณ12,200 ยูนิต ระบุระยะยาวงานจากกคช.จะหนุนรายได้บริษัท

นายสมชาย ศิริเลิศพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYNTEC เปิดเผยถึงทิศทางของบริษัทในช่วง 6 เดือนข้างหน้าว่า บริษัทยังคงให้น้ำหนักกับงานภาคเอกชน เนื่องจากยังมีอีกหลายโครงการที่ต้องมีการว่าจ้างผู้รับเหมา ซึ่งในส่วนของบริษัทอยู่ระหว่างทำข้อตกลงในการเข้าไปรับงานเพิ่มขึ้น โดยสัญญาก่อสร้างล่าสุดคือ การเข้าไปก่อสร้างโครงการ IDEAL 24 ของบริษัท เบญจาการ์เด้น จำกัด มูลค่างานกว่า 334 ล้านบาท ซึ่งเป็นอาคารพักอาศัยสูง 41 ชั้น ชั้นใต้ดิน 1 ชั้น แบ่งเป็นส่วนโพเดียมสูง 7 ชั้น ใช้เป็นที่จอดรถ และตั้งแต่ชั้นที่ 8 ถึงชั้นที่ 41 เป็นพื้นที่พักอาศัย ระยะเวลาก่อสร้าง 670 วัน รวมถึงโครงการก่อนหน้านี้ คือ โครงการคอนโดมิเนียมหรูที่ชื่อ แมนฮัตตัน ชิดลม ของบริษัท เมเนเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด มูลค่างาน 385 ล้านบาท

ปัจจุบันสัดส่วนงานภาคเอกชนของบริษัทจะอยู่ที่ 70-80% ที่เหลือจะเป็นงานภาครัฐ โดยยังไม่นำปริมาณงานก่อสร้างโครงการบ้านเอื้ออาทรที่บริษัทกิจการร่วมค้า ซินเท็ค-ไมวาน ได้รับงานก่อสร้างระยะ 4 ปีเข้ามาประมาณ 50,000 หน่วย เป็นส่วนของบริษัทซินเท็คฯประมาณ 20,000 ยูนิต มูลค่างานประมาณ 12,000 ล้านบาท แต่หากคำนวณงานบ้านเอื้ออาทรเข้ามาด้วย จะทำให้สัดส่วนงานภาครัฐขยับสูงขึ้นกว่านี้ ทั้งนี้ จะเป็นการก่อสร้างอาคารแฟลต 5 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น บ้านแถว 2 ชั้น และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งในส่วนแรกบ้านเอื้ออาทรที่บางนาจำนวน 5,200 ยูนิต และที่ลาดกระบัง 7,000 ยูนิตได้ดำเนินการไปแล้ว

นายสมชายกล่าวถึงเป้ารายได้ในปีนี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10-15% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 2,853.26 ล้านบาท มีผลขาดทุนสุทธิ 48.98 ล้านบาท( ปี 2547 ขาดทุนสุทธิ 134.62 ล้านบาท) มีงานในมือที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท

" รายได้ในปีนี้หลักๆจะมาจากงานก่อสร้างของเอกชน ซึ่งแม้ว่าภาวะราคาน้ำมันได้ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างประเภทเหล็ก คอนกรีตปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจจะไม่กระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากในการรับงานก่อสร้างบริษัทจะมีการคำนวณความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ประกอบกับต้นทุนจากวัตถุดิบเหล็กและคอนกรีตเฉลี่ยประมาณ 10% ของมูลค่างาน แต่จะมีส่วนอื่นที่ต้นทุนสูงกว่า เช่น ค่าแรงงานและแรงงานที่มีฝีมือประมาณ 30% เป็นต้น อย่างไรก็ตามในส่วนการรับรู้รายได้จากโครงการบ้านเอื้ออาทรในปีนี้จะเกิดขึ้นบ้างแต่มูลค่าการรับรู้ยังไม่มาก"นายสมชายกล่าว